หุ้นรับอานิสงส์เงินดิจิทัล เศรษฐาถกผู้บริหารคลัง หวังเดินหน้ากระตุ้นศก.
หุ้นอุปโภค-บริโภคขนาดกลาง-เล็ก เด้งรับ ”เศรษฐา" นัดถกผู้บริหารคลัง ผลักดันนโยบายกระตุ้นศก.- เงินดิจิทัลหมื่นบาท “บล.บัวหลวง” ชี้ หนุนหุ้นกลาง-เล็ก กลุ่มค้าปลีก ราคาลงมาแรงก่อนหน้านี้ มีโอกาสปรับขึ้น “บล.ทิสโก้” แนะลงทุนหุ้นแถวสอง"ค้าปลีก -ท่องเที่ยว
วานนี้ (29 ส.ค.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้หารือกับผู้บริหารกระทรวงการคลัง ถึงสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันและมาตรการกระตุ้นการบริโภคและท่องเที่ยว รวมถึงผลักดันเงินดิจิทัล 10,000 บาท กลายเป็นความหวังหนุนบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย นำโดยหุ้นกลุ่มอุปโภคและบริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้น
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง เปิดเผยว่า ปัจจัยดังกล่าวสร้างเซนทริเม้นต์เชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย โดยกองทุนและนักลงทุนรายใหญ่ คาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ น่าจะเกิดขึ้นอย่างเร็วในช่วงไตรมาส 1 ปีหน้า หากสามารถจัดตั้งรัฐบาลเสร็จภายในเดือนก.ย.นี้
โดยคาดว่าจะส่งผลเชิงบวกต่อหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กในกลุ่มอุปโภคและบริโภค ที่ราคาปรับตัวลงหนักมาก่อนหน้าได้ มีโอกาสกลับมาปรับขึ้นได้ เพราะหุ้นกลุ่มนี้มักจะตอบรับขึ้นมาก่อน บนความคาดหวังที่นโยบายดังกล่าวมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นต้นปีหน้า
“เงิน1 หมื่นบาท จะเข้ามาในมือประชาชนจริงหรือไม่ ยังไม่ทราบได้ เพราะรัฐบาลยังมีความท้าทายเรื่องชนเพดานหนี้สาธารณะและหนี้ครัวเรือนที่กดดันต่อการทำนโยบายและกระบวนการขั้นตอนต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น แต่แน่นอนว่า ตลาดรับข่าวบนความหวังที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ซึ่งไม่ว่าจะมีเม็ดเงินเข้ากระเป๋าประชาชนที่ระดับไหน หากเป็นธุรกิจเกี่ยวกับอุปโภคบริโภค ที่มีแพลตฟอร์มด้านการเงินสั่งซื้อสะดวกจะได้ประโยชน์โดยตรง"
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี 2566 ก็มีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวน(ไซด์เวย์) เชื่อหากจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่เสร็จภายในเดือนก.ย.นี้ หนุนภาพรวมเศรษฐกิจไทยค่อยฟื้นตัว และส่งออกมีทิศทางดีขึ้นในครึ่งปีหลัง รวมถึงหลังจากภาพการเมืองไทยชัดเจนขึ้น ช่วยหนุนเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ไหลเข้ามากกว่าปีก่อน
ทั้งนี้ประเมินดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีนี้จะมีแนวต้านที่ 1,625 จุด และแนวรับที่ 1,500 จุด เพราะ ระยะสั้นมองว่าดาวน์ไซด์จำกัด เพราะเมื่อเข้าสู่ไตรมาส 4 ของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นที่จะมีมาตรการกระตุ้นการบริโภคและท่องเที่ยวของภาครัฐออกมา หนุนการจับจ่ายใช้สอย
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า การเตรียมความพร้อมในการผลักดันเงินดิจิทัล10,000บาท มองเป็นภาพบวกต่อหุ้นกลุ่มอุปโภคและบริโภค ทั้งหุ้นขนาดใหญ่ หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กโดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีก จะเห็นว่าหุ้นกลุ่มฐานรากอย่าง CPALL,CPAXT มีทิศทางเป็นขาขึ้น
สำหรับในเชิงกลยุทธ์การลงทุนหุ้นขนาดใหญ่จะแปรผันตามดัชนีหุ้นไทย ซึ่งดัชนีที่ 1,570 จุด มีอัปไซด์ค่อนข้างจำกัดและยังไม่ทะลุแนวต้าน 1,600 จุดได้ ดังนั้นการเข้าซื้อหุ้นใหญ่ในกลุ่มค้าปลีก ควรรอจังหวะที่ตลาดย่อตัวลงถึงเข้าสะสม หรือสลับมาลงทุนหุ้นกลางและเล็ก (หุ้นแถวสอง) ที่ราคายังไม่ปรับขึ้นมาก และหุ้นที่ได้รับผลดีจากนโยบายกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐ นอกจากหุ้นกลุ่มค้าปลีกแล้ว ยังรวมถึงกลุ่มท่องเที่ยวและไฟแนนซ์ด้วย ซึ่งมีหุ้นเด่นน่าสนใจลงทุน เช่น ERW ,MINT , SPA ส่วนกลุ่มไฟแนนซ์ ยังต้องรอประกาศงบไตรมาส 3 ออกมาก่อน
“หุ้นมักจะตอบรับกับความคาดหวังมาตรกระตุ้นของภาครัฐที่จะมีตามมาหลังจัดตั้งรัฐบาล ก่อนที่จะประกาศใช้จริงในต้นปีหน้า ซึ่งเป็นเรื่องของความเชื่อมั่นผู้บริโภคและการบริโภคที่น่าจะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ”
นายรัฐศักดิ์ พิริยะอนนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า การนัดหารือวานนี้ เป็นการสะท้อนความพยายามของทางนายเศรษฐา ที่ต้องการพลิกฟื้นโมเมนตัมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยโดยเร็ว คาดมีความพยายามหารือถึงความเป็นไปได้ว่าเร็วที่สุดความพร้อมทางการคลังและงบประมาณจะสามารถออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ได้เมื่อไร โดยเฉพาะในส่วนของกระเป๋าเงินดิจิทัล ( Digital wallet)
ส่วนของมาตรการลดค่าครองชีพให้กับประชาชน เช่น ลดค่าน้ำ ค่าไฟ รวมถึงมาตรการฟรีวีซ่า น่าจะสามารถนำมาประกาศใช้ได้เร็ว เพราะไม่ได้เป็นนโยบายที่กระทบในเชิงตัวเงินงบประมานเท่ากับมาตรการ Digital wallet ซึ่งเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มค้าปลีกจะได้ประโยชน์จากมาตรการ Digital wallet และมาตรการกระตุ้นการบริโภคอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีมาตรการฟรีวิซ่าก็จะยิ่งช่วยเร่งการจับจ่ายใช้สอยของภาคเอกชนได้ โดยหุ้นได้ประโยชน์ อาทิ CPALL, CRC, COM7, BJC ,BE8 ,PlanB