เปิดโผ 6 หุ้นปันผลสูง กว่า 4% มาร์เก็ตแคปเกิน 5 หมื่นล้าน ราคาจากต้นปีบวกแรง
ตลาดหุ้นไทยยังผันผวน แม้ได้รัฐบาลใหม่ "โบรก" แนะ คัดเลือกหุ้นนักลงทุนต้องทำการบ้านมากขึ้น ดูนโยบายภาครัฐที่ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจด้านหุ้นปันผลสูง ยังเป็นที่นิยม TISCO เงินปันผลตอบแทนมากสุด 7.60%
แม้ได้รัฐบาลชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว แต่ตลาดหุ้นไทยได้ยังคงผันผวนต่อเนื่อง ฉะนั้นแล้วนักลงทุนจึงต้องมองหาหุ้น หลุมหลบภัย ซึ่งทำให้ “หุ้นปันผลสูง” เป็นที่นิยมเสมอมา ทั้งนี้ “กรุงเทพธุรกิจ” ได้คัดหุ้นมาจาก 3 ปัจจัยสำคัญ คือ
1.อัตราเงินปันผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี สูงเกิน 4%
2.มาร์เก็ตแคปเกิน 5 หมื่นล้านบาท ที่แสดงถึงความมั่นคง แข็งแกร่งของบริษัท
3.อัตราผลตอบแทนราคาตั้งแต่ต้นปียังคงเป็นบวก
6 หุ้นปันผลสูง มาร์เก็ตแคปเกิน 5 หมื่นล้าน
1.บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) TISCO
- มาร์เก็ตแคป 81,665.85 ล้านบาท
- ผลตอบแทนราคา YTD +2.77%
- เงินปันผลตอบแทน 7.60%
- P/E 11.30 เท่า
2.บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) TCAP
- มาร์เก็ตแคป 52,954.50 ล้านบาท
- ผลตอบแทนราคา YTD +18.82%
- เงินปันผลตอบแทน 6.14%
- P/E 9.18 เท่า
3.บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) BCP
- มาร์เก็ตแคป 53,355.77 ล้านบาท
- ผลตอบแทนราคา YTD +23.02%
- เงินปันผลตอบแทน 5.74%
- P/E 8.69 เท่า
4.บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) PTT
- มาร์เก็ตแคป 999,704.87 ล้านบาท
- ผลตอบแทนราคา YTD +5.26%
- เงินปันผลตอบแทน 5.71%
- P/E 13.38 เท่า
5.บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) SCB
- มาร์เก็ตแคป 397,318.66 ล้านบาท
- ผลตอบแทนราคา YTD +10.28%
- เงินปันผลตอบแทน 5.67%
- P/E 9.86 เท่า
6.ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) TTB
- มาร์เก็ตแคป 164,671.47 ล้านบาท
- ผลตอบแทนราคา YTD +20.57%
- เงินปันผลตอบแทน 4.29%
- P/E 10.03 เท่า
ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลกับกรุงเทพธุรกิจว่า ในช่วงที่เหลือของปีนักลงทุนสามารถเลือกหุ้นที่ยัง Laggard มีอัพไซด์เมื่อเทียบกับราคาเหมาะสม มีปันผลในระดับที่น่าพอใจ แต่เน้น Valuation เป็นหลัก ที่มีหนี้ไม่เยอะ
ขณะเดียวกันตลาดหุ้นหลายกลุ่มมีการฟื้นตัวกันเกือบหมด แต่จะมีเพียงบางกลุ่มที่มีความกังวลต่อนโยบายภาครัฐ เช่นโรงไฟฟ้า ปั้มน้ำมัน โรงกลั่น ที่ยังรอความชัดเจนของการปรับลดค่าไฟ และค่าน้ำมัน เมื่อมีความชัดเจนแล้วก็คาดว่าหุ้นเหล่านี้จะสามารถปรับตัวขึ้นมา เนื่องจากราคาหุ้นมีการตอบสนองจากความไม่ชัดเจนลงไปค่อนข้างมาก
วทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การคัดเลือกหุ้นหลังจากนี้ สิ่งที่นักลงทุนจะต้องทำการบ้านมากขึ้น สิ่งที่ต้องดูคือ นโยบายภาครัฐที่จะออกมากระตุ้นเศรษฐกิจอะไรบ้าง หลังจากที่ปัจจุบันได้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งหากย้อนไปช่วงไตรมาส 2/66 เศรษฐกิจไทยเหลือการเติบโตเพียงแค่ 1.8% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ไว้ที่ 3% ดังนั้น รัฐบาลชุดใหม่ที่จะมีการจัดประชุม ครม.นัดแรก น่าจะได้เห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา โดยเฉพาะในเรื่องของการบริโภคน่าจะได้เห็นออกมาอย่างแน่นอน ส่งผลให้หุ้นค้าปลีกได้รับประโยชน์
“ก่อนหน้านี้จะเห็นว่า นายกฯ เศรษฐา มีความชัดเจนที่กระตุ้นภาคการท่องเที่ยวไป ที่มีการฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวจีน และอินเดีย และหลังจากนี้น่าจะมีการเข้ามากระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งกลุ่มค้าปลีกจะได้รับประโยชน์แน่นอน”
ขณะเดียวกัน หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้ามีการปรับตัวลงมาค่อนข้างแรง ซึ่งนักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับนโยบายของพรรคเพื่อไทย ที่นายก ฯ เศรษฐา กล่าวไว้ชัดเจนว่า มีแผนที่จะช่วยประชาชนในเรื่องของการลดค่าไฟ ส่งผลให้เป็นผลลบกับหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า ทำให้ผลประกอบอาจจะย่ำแย่ตามมาได้ แต่อย่างไรก็ตาม การที่มีการปรับลดค่าไฟลงจะทำให้ประชาชน มีเม็ดเงินในกระเป๋าที่มาขึ้นก็จะทำให้มีการจับจ่ายใช้สอย จึงเป็นผลดีกับกลุ่มค้าปลีกที่น่าสนใจ
วทัญ ได้เสริมว่า สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฟรีวีซ่านักลงเที่ยวจีนที่มีความกังวลต่อทัวร์ศูนย์เหรียญ หรือทุนจีนสีเทา เชื่อว่ารัฐบาลมีมาตรการในการรับมือต่อความกังวลดังกล่าว แต่มองว่าจะเป็นผลดีกลับมายังบ้านเรา เพราะอย่างน้อยคนจีนสามารถตัดสินใจมาเที่ยวไทยมากขึ้นเศรษฐกิจไทยก็จะกลับมาดีขึ้นด้วย โดยเฉพาะกลุ่มสายการบิน หรือกลุ่มสนามบินก็จะได้รับประโยชน์ อย่าง AAV BA AOT ขณะเดียวกันเชื่อว่า ไทยเองก็มีมาตรการป้องกันทุนจีนสีเทาที่ไม่น่าจะมีการปล่อยให้เข้ามาฉวยโอกาสตรงนี้ได้ง่าย ๆ