สำรวจ 5 หุ้นโรงกลั่น หลังรัฐบาล ‘เศรษฐา’ เตรียมจัดหนัก ลดราคาพลังงาน
หนึ่งในนโยบายรัฐบาลเศรษฐา 1 ต้องการลดราคาพลังงาน โดยการเปิดเสรีในการนำเข้าน้ำมัน โบรกคาด หุ้นกลุ่มโรงกลั่นกระทบ แต่มองทำได้ยากต้องปรับโครงสร้างใหม่ หวั่นเกิดปัญหาน้ำมันเถื่อน
หุ้นกลุ่มโรงกลั่น ช่วงนี้แม้จะมีปัจจัยหนุนจากซาอุดิอาระเบียและรัสเซีย ขยายระยะเวลาการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันแบบสมัครใจออกไปถึงสิ้นปีนี้ ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 10 เดือน แต่ทว่ายังมีปัจจัยลบกดดันจากนโยบายลดราคาพลังงานของรัฐบาลเศรษฐา 1 ที่ต้องการเปิดเสรีในการนำเข้าน้ำมัน จะสามารถทำได้จริงหรือไม่?
วีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ฟินันเซีย ไซรัส ให้ข้อมูลกับกรุงเทพธุรกิจว่า ธุรกิจโรงกลั่นปัจจุบันอาจจะถูกกดดัน หากนโยบายดังกล่าวมีเสรีอาจจะมีการนำเข้าน้ำมันถูกจากต่างประเทศเข้ามา ซึ่งถ้าทำได้จริงต้องยอมว่า จะกระทบโรงกลั่น ทำให้มีซัพพลายมากขึ้น ก็จะทำให้เกิดการแย่งชิงยอดขายในประเทศไป และอาจจะต้องมีการลดการกลั่นลง เพื่อให้พอดีกับดีมานด์
“ปกติในประเทศพอมีการกลั่นน้ำมันเสร็จแล้ว ปั้มน้ำมันก็จะทำการซื้อเพื่อนำไปขายต่อ แต่ถ้าหากมีการนำเข้าได้จริง ปั้มน้ำมันอาจจะสามารถซื้อได้จากที่อื่นที่ไม่ได้อยู่ในประเทศ”
อย่างไรก็ตาม มองว่าแนวทางการทำค่อนข้างยาก โดยเฉพาะการลดค่าการกลั่น เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยอิงค่าการกลั่นจากสิงคโปร์ ซึ่งในแบบมาตรฐาน ซึ่งไม่ได้มีการกำหนดค่าการกลั่นเอง
ทั้งนี้ แนะนำนักลงทุนว่า หากจะเข้ามาลงทุนในกลุ่มโรงกลั่นเข้ามาเก็งกำไร จากราคาน้ำมันที่ปรับบวกขึ้่นมา ขณะที่ก่อนหน้านั้นค่าการกลั่นมีการปรับขึ้นมาสูงสุด 14 เหรียญดอลลาร์ฯ ขณะนี้เริ่มปรับตัวลงมาแล้ว ดังนั้นนักลงทุนยังคงต้องติดตามว่าจะสามารถลงได้ต่อไปอีกหรือไม่ในช่วงถัดไป บวกกับประเด็นของภาครัฐที่ยังโอเวอร์แฮงกับนโยบายต่าง ๆ หากทำได้จริงน่าจะเกิดผลกระทบ แต่คิดว่ายังไม่สามารถทำได้ ค่อนข้างยากต่อการจะเข้ามาแก้ไข
นักวิเคราะห์ บล.กสิกไทย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การที่รัฐมนตรีท่านใหม่เข้ามาควบคุมราคาพลังงาน รวมถึงมีการปรับโครงสร้างหน้าโรงกลั่นที่กำลังพิจารณาอยู่ ซึ่งเป้าหมายของนายกรัฐมนตรี เพื่อที่ต้องการลดราคาขายปลีกหน้าปั้มลง แต่สิ่งสำคัญกับการลดราคาขายปลีกหน้าปั้มจะสามารถทำได้จากการใช้กลไกจากภาษีสรรพสามิต และกองทุนน้ำมันเข้ามาช่วยเหลือ แต่ทว่าใช้ภาษีสรรพสามิตก็จะทำให้ขาดรายได้ ขณะที่หากใช้กองทุนน้ำมันซึ่งขณะนี้ก็ยังติดลบอยู่ประมาณ 10,000 ล้านบาท รวมถึงกระแสเงินสดยังคงไหลออกจากกองทุนน้ำมันด้วย
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เหลืออยู่คือ การปรับโครงสร้างราคาหน้าโรงกลั่น โดยรัฐมนตรีด้านพลังงานพยายามบอกว่าจะทำการเปิดเสรีในเรื่องของการนำเข้าเพื่อเป็นการสร้างทางเลือกให้กับผู้ซื้อในประเทศนอกเหนือจากโรงกลั่นในประเทศ ขณะเดียวกันทฤษฎีค่าการกลั่นถ้าเทียบกับต่างประเทศไม่ต่างกันเนื่องจากอิงงค่าการกลั่นจากสิงคโปร์ แต่ในความเป็นจริงอาจจะมีบางจังหวะที่มีน้ำมันเหลือออกมาจากโรงกลั่นในรอบภูมิภาคที่นำมาขายในราคาที่เป็นส่วนลด หรือในบางช่วงที่มีค้าขนส่งที่ต่ำกว่าราคาหน้าโรงกลั่น ตรงนี้จะเป็นการเปิดโอกาสให้สามารถนำเข้าได้ในราคาที่ถูกกว่า แต่ไม่สามารถทำได้บ่อย ๆ
ทั้งนี้การที่จะไปหาแหล่งน้ำมันถูก ๆ ได้มีแค่ที่รัฐเซีย แต่รัฐเซียเองยังต้องมีการพิจารณาถึงนโยบายกระทรวงต่างประเทศเข้ามาประกอบด้วย เพราะว่าปัจจุบันรัสเซียเองมีการโดนแซงก์ชันจากสหรัฐ เพราะฉะนั้นการเปิดอิมพอร์ตเสรี สามารถช่วยได้บ้าง เพียงแต่ว่าปัญหาไม่ได้สามารถแก้ไขได้ตลอด และอาจจะเกิดปัญหาน้ำมันเถื่อนได้ด้วย อย่างไรก็ตามยังคงต้องพิจารณาดูว่า จะทำได้ในระยะยาวได้หรือไม่
“ผลกระทบดังกล่าวน่าจะไม่ได้มากกับหุ้นกลุ่มโรงกลั่น ก่อนหน้านี้ก็มีหลายรัฐบาลที่จะเข้ามาแตะราคาหน้าโรงกลั่น เพียงแต่ว่าธุรกิจโรงกลั่นเป็นธุรกิจที่เปิดเสรีอยู่แล้ว การที่จะเข้ามาบดเบือนกลไกลที่มากเกินไป และถ้าราคาต่ำกว่าต่างประเทศเยอะ หรือต่ำกว่าสิงคโปร์เยอะ เราก็จะเห็นการส่งออกน้ำมัน แทนที่จะขายได้ในประเทศ และน้ำมันก็จะขาดตลาด หลังจากนี้อาจจะต้องรอดูอีกทีว่าจุดที่เหมาะสมจะเป็นอย่างไร นอกจากนี้ การปรับราคาหน้าโรงกลั่นยังคงต้องใช้ระยะเวลานาน ที่ไม่สามารถทำได้ในเร็ว ๆ นี้ ต้องมีการเจรจา เนื่องจากเป็นโครงสร้างของประเทศ”
ทั้งนี้ “กรุงเทพธุรกิจ” ได้สำรวจหุ้นกลุ่มโรงกลั่นในตลาดหุ้นไทย ปัจจุบันมีอยู่ด้วยกัน 5 โรงกลั่น
1.บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC)
- ผู้ถือหุ้นใหญ่ บมจ.ปตท
- คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
- มาร์เก็ตแคป 164,572.99 ล้านบาท
- ผลตอบแทนราคา YTD -22.75%
- อัตราเงินปันผลตอบแทน 2.74%
- P/E Ratio - เท่า
- กำลังการผลิต 280,000 บาร์เรลต่อวัน
- ซื่้อขายในตลาดหุ้นไทยวันแรก 21 ต.ค.54
2.บมจ.ไทยออยล์ (TOP)
- ผู้ถือหุ้นใหญ่ บมจ.ปตท
- บัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่
- มาร์เก็ตแคป 108,899.48 ล้านบาท
- ผลตอบแทนราคา YTD -13.33%
- อัตราเงินปันผลตอบแทน 7.59%
- P/E Ratio 18.68 เท่า
- กำลังการผลิต 275,000 บาร์เรลต่อวัน
- ซื่้อขายในตลาดหุ้นไทยวันแรก 26 ต.ค.47
3.บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP)
- ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด
- ชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่
- มาร์เก็ตแคป 52,323.08 ล้านบาท
- ผลตอบแทนราคา YTD +20.63%
- อัตราเงินปันผลตอบแทน 5.86%
- P/E Ratio 8.52 เท่า
- กำลังการผลิต 120,000 บาร์เรลต่อวัน
- ซื่้อขายในตลาดหุ้นไทยวันแรก 2 ส.ค.37
4.บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC)
- ผู้ถือหุ้นใหญ่ บมจ.ปตท
- กฤษณ์ อิ่มแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่
- มาร์เก็ตแคป 46,999.16 ล้านบาท
- ผลตอบแทนราคา YTD -23.84%
- อัตราเงินปันผลตอบแทน 3.04%
- P/E Ratio - เท่า
- กำลังการผลิต 215,000 บาร์เรลต่อวัน
- ซื่้อขายในตลาดหุ้นไทยวันแรก 17 มี.ค.38
5.บมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC)
- ผู้ถือหุ้นใหญ่ CHEVRON SOUTH ASIA HOLDINGS PTE LTD
- โรเบิร์ต โจเซฟ โดบริค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
- มาร์เก็ตแคป 39,239.91 ล้านบาท
- ผลตอบแทนราคา YTD -15.42%
- อัตราเงินปันผลตอบแทน 12.27%
- P/E Ratio -เท่า
- กำลังการผลิต 175,000 บาร์เรลต่อวัน
- ซื่้อขายในตลาดหุ้นไทยวันแรก 8 ธ.ค.58