ตลาดหุ้นเวียดนามดิ่ง 4 วันติด ร่วง 6.58% ‘กูรู’ เชื่อแพนิกสั้นๆ ยังน่าลงทุน
ดัชนี VN 30 เวียดนาม ปรับตัวลดลงมา อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 21 ก.ย. - 26 ก.ย.66 ปรับตัวลงมา 81.20 จุด หรือลดลง 6.58% หลังได้รับผลกระทบจากปัญหาอสังหาฯ จีน "กูรู" เผย กระทบระยะสั้น P/E 11.5 เท่าถูกมาก เป็นจังหวะเข้าไปเก็บสะสม
ตลาดหุ้นเวียดนาม (VN 30) ณ 26 ก.ย.66 ปิดตลาดร่วง 0.57% หรือลดลง 6.57 จุด หรืออยู่ที่ระดับ 1,153.37จุด โดยตลอดทั้งวันเคลื่อนไหวสูงสุดที่ 1,174.24 จุด และต่ำสุดที่ 1,152.44 จุด ซึ่งปรับลดลงมาตามตลาดหุ้นเอเชียที่ปรับตัวลงทั้งภูมิภาค หลังจากที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน Evergrande มีการเจรจาหนี้ แต่ปรากฏว่าไม่สามารถทำได้ รวมถึงความกังวลต่อธนาคารกลางสหรัฐที่มีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ยที่ระดับ 0.25% สู่ระดับ 5.50-5.75% ในการประชุมครั้งถัดไป
ทั้งนี้หากย้อนไปดูดัชนี VN 30 ของหุ้นเวียดนาม (อ้างอิง investing) พบว่า ปรับตัวลดลงมา อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 21 ก.ย. - 26 ก.ย.66 ปรับตัวลงมา 81.20 จุด หรือ ลดลง 6.58%
20 ก.ย.66 อยู่ที่ 1,234.57 จุด บวก 0.74%
21 ก.ย.66 อยู่ที่ 1,219.19 จุด ลดลง 1.25%
22 ก.ย.66 อยู่ที่ 1,197.69 จุด ลดลง 1.76%
25 ก.ย.66 อยู่ที่ 1,159.94 จุด ลดลง 3.15%
แต่ทว่าปัญหาดังกล่าวแม้จะกระทบตลาดหุ้นเวียดนามมาหลายวันติดต่อกัน แต่ “กูรู” วิเคราะห์ไปในทิศทางเดียวกันว่า เป็นผลกระทบแค่ระยะสั้นๆ เท่านั้น ตลาดหุ้นเวียดนามยังคงมีความน่าสนใจเข้าไปลงทุนได้ทั้งในระยะกลาง - ระยะยาว
รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง ให้ข้อมูลกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ตลาดหุ้นเวียดนามแม้จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลก แต่โดยภาพรวมแล้วยังน่าสนใจอยู่ หากดูเศรษฐกิจเวียดนามปีนี้จะขยายตัวได้อีก 4 - 5% และในปีหน้าจะขยายได้อีกถึง 6% นั่นหมายความว่า เวียดนามเติบโตมากกว่าไทยถึงเท่าตัว แม้แต่ช่วงโควิดที่ผ่านมา หรือ 3 ปีที่แล้ว ไทยติดลบอยู่ 6.1% แต่เวียดนามยังเป็นบวก
อย่างไรก็ดี แนวโน้มต่อจากนี้ไปในระยะกลางเวียดนามจะขยายตัวได้อีก 6 -7% เนื่องจากว่า ต่างประเทศมีการเข้ามาลงทุนในเวียดนามหากเทียบกับไทยถึง 3 เท่า ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการเติบโตของเวียดนามสูงมากกว่าไทยเท่าตัว ขณะที่แรงงานเวียดนามฝีมือค่อนข้างดีมาก และราคาถูก และจำนวนประชากรของเวียดนาม 50 - 60% มีอาชีพใช้แรงงาน ซึ่งต่างจากประเทศไทยที่ในขณะนี้ ผู้ที่อยู่ในแรงงานกลับปรับตัวลดลง เนื่องจากเริ่มมีอายุมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนในตลาดหุ้นเวียดนามขณะนี้ยังสูงอยู่ เพียงแต่ว่า สิ่งที่ได้รับผลกระทบมาจากภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน Evergrande มีการเจรจาหนี้ แต่ปรากฏว่าไม่สามารถทำได้ จึงทำให้เกิดปัญหา รวมไปถึงปัญหาธนาคารเอกชนที่มีการให้อัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างสูง ทำให้มีความผูกพันกับอสังหาริมทรัพย์ แต่พอภาคอสังหาริมทรัพย์เริ่มมีปัญหาเริ่มมีการเบี้ยวหนี้ได้
ขณะเดียวกันจีนมีปัญหาหนี้สาธารณะกับหนี้ภาคเอกชนสูงถึง 280% ของจีดีพี ซึ่งถือว่าสูงมาก และอัตราการว่างงานของคนจบปริญญาสูงถึง 21% ขณะที่อัตราการเติบโตในปีนี้ที่รัฐบาลจีนตั้งไว้ที่ 5% ยังคงทำได้อย่างยากลำบาก รวมไปถึงมีปัญหากับสหรัฐ ที่มีความไม่เชื่อมั่นในระบบของจีนจากการนำสังคมนิยมไปควบคุมทุนนิยม ทำให้คนในประเทศจีนเองก็ยังไม่กล้าที่จะเข้ามาลงทุนเช่นกัน
“ประเทศจีนที่เป็นเศรษฐกิจอันดับ 2 ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกทั้งหมด จึงเป็นเหตุให้ตลาดหุ้นเวียดนามได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะเศรษฐกิจเวียดนามต่างก็พึ่งพาจีน รวมถึงไทยด้วย”
ส่วนผลกระทบต่อตลาดหุ้นเวียดนามอีกหนึ่งประเด็นนั่นคือ อัตราดอกเบี้ยแม้ธนาคารกลางของสหรัฐ จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ ที่มีการพูดออกมาชัดเจนว่า อีกประมาณ 2-3 เดือนนี้ อาจจะมีการปรับขึ้นอีกครั้งหนึ่ง และยังบอกเพิ่มอีกว่า ในปีหน้าจะลดอัตราดอกเบี้ยในอัตราที่ช้ากว่าที่คาด
“จากประเด็นดังกล่าวจึงทำให้นักลงทุนขายสินทรัพย์รวมถึงหุ้นเวียดนาม หรือหุ้นไทยด้วย และหันไปซื้อสินทรัพย์ที่เป็นพันธบัตรสหรัฐ และทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นมา ซึ่งพันธบัตรของสหรัฐ 10 ปี ขึ้นมาถึง 4.6%”
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า (VI) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวเพิ่มขึ้นมาค่อนข้างมาก ส่วนสาเหตุที่มีการปรับตัวลงมาในช่วงนี้ มาจากหลายประเด็นเข้ามารวมกัน เช่น ภาคการส่งออกที่เกิดการชะลอตัวตามสภาวะโลก เพราะภาคการส่งออกถือเป็นเครื่องยนต์ใหญ่ในการขับเคลื่อน รวมถึงปัญหาค่าเงิน บวกกับตลาดหุ้นเวียดนามมีการปรับลดมาร์จิ้นลงมา
“วันนี้แม้ว่าจะตลาดหุ้นเวียดนามจะปรับตัวลดลงมา แต่ถ้าเทียบกับช่วงต้นปีที่ผ่านมา ยังเป็นบวกอยู่ไม่ต่ำกว่า 15% จากที่เคยขึ้นไปถึง 20% ตกลงมา 5% แต่ก็ยังเติบโต”
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าจับตามองอีกหนึ่งประเด็นคือ ณ ขณะนี้ตัวเลขรายย่อยเริ่มกลับเข้ามาลงทุนค่อนข้างแรง เดือนหนึ่งตกอยู่หลายแสนบัญชี จึงเป็นสัญญาณที่ดี นอกจากนี้ตลาดหุ้นเวียดนามมีการปรับเรตติ้งหุ้นตลาดชายขอบเป็นตลาดเกิดใหม่เริ่มมีสัญญาณที่ชัดเจนขึ้น จากการได้เห็นว่ามีการเข้าไปคุยที่ฮ่องกงกับบริษัทที่ทำเรตติ้ง ซึ่งคาดการณ์ว่า 2- 3 ปีจะสามารถปรับเป็นตลาดเกิดใหม่ได้
บดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการส่วนกลยุทธ์การลงทุน บลจ.ทหารไทยอีสท์สปริง ให้ข้อมูลเสริมต่อไปว่า ตลาดหุ้นเวียดนามมีหลายปัจจัยที่ถูกกดดันอยู่ ณ ขณะนี้ ทั้งปัจจัยทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยปัจจัยต่างประเทศเรื่องของการประชุมเฟดที่จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย รวมถึงภาคอสังหาฯ ของจีนที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ เนื่องจากจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของเวียดนาม เพราะฉะนั้นเซนทิเมนต์ของเวียดนามกับจีนจึงเข้ามากดดันตลาดหุ้นทั่วโลก และเวียดนามด้วย
ส่วนปัจจัยภายในประเทศ หลังจากที่ธนาคารกลางเวียดนามมีการออกพันธบัตรระยะสั้น ทำให้เกิดส่งผลกับบอนด์ยีลด์เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มสูงขึ้นด้วย จึงเป็นสาเหตุให้ตลาดหุ้นเวียดนามได้รับผลกระทบไปด้วย
นอกจากนี้เวียดนามมีการปรับลดมาร์จิ้นหรืออัตราการกู้ยืมในเวียดนามของโบรกเกอร์ที่ให้กับนักลงทุน ซึ่งที่ผ่านมาตลาดหุ้นเวียดนามส่วนใหญ่แล้วจะเป็นรายย่อยประมาณ 90% และมีการใช้บัญชีมาร์จิ้นกันในการเข้ามาเก็งกำไร พอมีการปรับลดลงมาจึงเป็นการสะท้อนสภาพคล่องของตลาดหุ้นเวียดนามลดลงไปด้วย ในช่วง 1 - 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเวียดนามมีการปรับตัวลดมา 7%
แต่อย่างไรก็ตาม หากดู Valuation ของเวียดนาม P/E อยู่ที่ 11.5 เท่า ถือว่าค่อนข้างถูกมาก เพราะค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลังอยู่ที่ประมาณ 14 เท่า ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนในเวียดนามคาดการณ์ว่าจะเติบโตอยู่ที่ 26% และปีหน้าเติบโตได้อีก 30% และหากย้อนกลับไปช่วงกลางเดือนมี.ค.- กลางเดือนก.ย.66 ตลาดหุ้นเวียดนามปรับขึ้นมาถึง 21% แต่พอมีกระแสข่าวในเชิงลบถือเป็นจังหวะในการทำกำไรของนักลงทุนขายออกมาเพื่อลดความเสี่ยงออกไป
ขณะที่ในระยะกลาง - ยาว ยังมองว่าตลาดหุ้นเวียดนามยังน่าสนใจอยู่ โดยบริษัทมองว่า ไตรมาส 4/66 เวียดนามเป็นช่วงจังหวะเพิ่มน้ำหนักเข้าไปลงทุน และยิ่งช่วงตลาดมีการปรับฐานลงมาจึงเป็นจังหวะที่น่าเข้าไปเก็บสะสม แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะต้องระวังในตลาดหุ้นเวียดนามด้วยความที่เป็นตลาด Frontier Market การลงทุนจึงต้องมีลิมิตสัดส่วนการลงทุนไม่เกิน 5 -10% เนื่องจากตลาดหุ้นเวียดนามมีความเหวี่ยงค่อนข้างมาก
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์