ตลาดหุ้นไทยหลังได้รัฐบาลใหม่ ไปต่อหรือพอแค่นี้?
แม้ความกดดันด้านการเมืองจะสิ้นสุดแล้ว แต่ทำไมตลาดหุ้นไทยถึงยังไม่ไปไหนสักที? เรายังคาดหวังต่อตลาดหุ้นในปีนี้ได้อยู่หรือไม่ คำถามเหล่านี้เกิดขึ้นมาหลังจากเราได้รัฐบาลใหม่มาแล้วประมาณ 1 เดือนเต็มๆ
แต่แนวโน้มตลาดหุ้นไทยก็ดูจะไม่ได้ตอบรับในเชิงบวกมากสักเท่าไหร่นัก สำหรับบทความในเดือนนี้จึงอยากลองหาเหตุและปัจจัยต่างๆ มาวิเคราะห์ดูว่า ปัจจัยอะไรบ้างที่ยังคงกดดันตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทย รวมถึงนโยบายของภาครัฐ ที่ล้วนเป็นปัจจัยกดดันอย่างต่อเนื่อง
จากที่เคยกล่าวไปในบทความก่อนๆ ถึงเรื่องการเมืองที่เป็นปัจจัยหลักทำให้เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะหยุดชะงัก สะท้อนให้เห็นจากผลตอบแทน SET Index ในช่วงที่ผ่านมาที่มีความผันผวนอย่างมาก และมักถูกกระทบจากข่าวการเมืองเป็นส่วนใหญ่ มาในวันนี้ปัจจัยทางการเมืองได้คลี่คลายลงแล้ว และเรายังได้รัฐบาลที่เรียกได้ว่าขึ้นชื่อทั้งเรื่องประสบการณ์ และความสามารถในการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างพรรคเพื่อไทย แต่ทำไมตลาดหุ้นไทยถึงตอบรับในเชิงบวกแค่เพียงไม่กี่วันก็ถูกนักลงทุนต่างชาติเทขายอย่างต่อเนื่อง
สำหรับประเด็นแรกคงหนีไม่พ้นเรื่องเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง การขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐเอง รวมถึงปัญหาเศรษฐกิจจีน ปัจจัยเหล่านี้ยังเชื่อมโยงและส่งผลโดยตรงต่อภาคการส่งออกอย่างต่อเนื่องในแต่ละเดือนที่ผ่านมา การส่งออกที่หดตัวหลายเดือนติดต่อกันส่งผลต่อเนื่องมายังเศรษฐกิจภายในประเทศเองที่เป็นปัจจัยสำคัญกดดันตลาด สำหรับในปีนี้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยคงเติบโตได้ไม่มาก หลังถูกกดดันจากภาคส่งออกที่หดตัวลงตามเศรษฐกิจโลก ด้านการใช้จ่ายภาครัฐก็มีไม่มาก คงจะมีแต่ภาคการท่องเที่ยวเท่านั้นที่เป็นเครื่องยนต์หลักที่ยังคอยสนับสนุน อย่างไรก็ตาม เครื่องยนต์หลักนั้นก็ดูเหมือนทำงานอย่างไม่ได้มีประสิทธิภาพสักเท่าไหร่ เนื่องจากการกลับเข้ามาของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ไม่มากตามคาด
ประเด็นถัดไปคือเรื่องหนี้ครัวเรือน ที่เคยกล่าวถึงในบทความก่อนหน้าว่า ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงง่ายๆ และยังคงเป็นการฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจไทยอยู่ ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว ประเด็นที่สาม คือเรื่องนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่แม้ว่ารัฐบาลจะคาดหวังว่าเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจชั้นดี แต่ก็ยังคงเป็นประเด็นถกเถียงกันถึงความชัดเจนในการทำนโยบาย ว่าจะสามารถทำได้หรือไม่ รัฐบาลจะเอาเงินมาจากไหน ซึ่งก็กลายเป็นคำถามถึงความมั่นคงของรัฐบาลเรื่องงบประมาณในการใช้จ่ายเงินดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีมาตรการฟรีวีซ่า เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากจีน
ก็มีคำถามอีกว่าปัญหาที่นักท่องเที่ยวจีนไม่มาประเทศไทยนั่นเป็นเพราะอะไร สาเหตุหลักๆ คงไม่ได้เป็นเพราะความยากง่ายในการเข้าประเทศ แต่น่าจะเป็นเพราะเศรษฐกิจในประเทศจีนที่ยังมีปัญหา และคนจีนมีที่ท่องเที่ยวอื่นที่น่าสนใจกว่าประเทศไทย รวมทั้งคนจีนอาจมีความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัยในประเทศไทยที่น้อยลง ซึ่งเป็นความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องสร้างขึ้นมา ประเด็นสุดท้าย ก็คงเป็นเรื่องของความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทย ที่เมื่อเทียบกับต่างชาติแล้วความน่าสนใจอาจน้อยกว่าในแง่ของการเติบโต
โดยภาพรวมแล้ว แม้ว่าการเมืองในประเทศจะสามารถคลี่คลายได้ แม้ว่ารัฐบาลจะมีนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจมากมาย และแม้ว่าความวุ่นวายในประเทศไม่ได้เกิดเหมือนอย่างที่เคยคาดการณ์ก่อนหน้า แต่ตลาดหุ้นไทยยังคงมีปัจจัยทั้งภายในและภายนอกอื่นๆ ที่กดดันอย่างต่อเนื่อง ถามว่าตลาดหุ้นจะไปต่อได้หรือไม่เราอาจต้องรอดูผลประกอบการตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีหลังว่าจะออกมาได้ดีตามคาดหรือไม่
นอกจากนี้ก็ต้องคอยดูผลงานของรัฐบาลชุดใหม่ ไม่ว่าจะเป็นความชัดเจนของนโยบายที่ออกมาเพื่อหวังจะกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือการออกไปเชิญชวนให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศ ว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจไทยเราทั้งในระยะสั้น และระยะยาว ได้ดีแค่ไหน และได้ทันท่วงทีหรือไม่ ส่วนตัวคิดว่ารัฐบาลน่าจะต้องพยายามแก้ไขเศรษฐกิจให้ได้เพื่อกอบกู้ฐานเสียงของตนเองหลังจากเสียคะแนนนิยมไปจำนวนมากในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา