หุ้นปั่นป่วน-สภาพคล่องหาย สินทรัพย์ไหนปลอดภัย
คำถามสุดคลาสสิกสำหรับนักลงทุนเมื่อเกิดภาวะวิกฤติ เช่น สงครามหรือล้มละลายของสถาบันการเงินระดับโลก จนทำให้สินทรัพย์ที่ลงทุนในพอร์ตเผชิญมูลค่าลดลง ตามสเต็ปที่จะเจอคือการเทขายสินทรัพย์เสี่ยงที่มีสภาพคล่องมากที่สุดเพื่อถือครองเงินสดเอาไว้ก่อน
“เงินลงทุน หรือฟันด์โฟลว์” ย่อมต้องหาเส้นทางการลงทุนใหม่เพื่อสร้างผลตอบแทนเอาไว้ ซึ่งจะจำกัดอยู่ในสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หรือ Safe Haven เอาไว้ก่อน ช่วงปี 2566 แทบจะมีไม่กี่สินทรัพย์ที่ยังรักษาผลตอบแทนเป็นบวกเอาไว้ได้
อ้างอิงกับข้อมูล Bloomberg และบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) รวบรวมผลตอบแทนสินทรัพย์ลงทุนต่างๆ ทั่วโลก ตั้งแต่ต้นทุนจนถึงปัจจุบัน (YTD) ปรากฏ ค่าเงินเยน ของญี่ปุ่น ให้ผลตอบแทนมากที่สุด 18.78% รองลงมาตลาดหุ้นสิงคโปร์ 12.22% ตลาดที่พัฒนาแล้ว (DM Equity) ที่ 9.32% ตลาดหุ้นโลก 8.04% และตลาดหุ้นยุโรป 4.72%
นอกจากนี้ยังมีสินทรัพย์อื่นที่ให้ผลตอบแทนยังบวกคือ หุ้นกู้ที่ให้ผลตอบแทนสูง (High Yield Bond) 3.54% น้ำมัน 3.15% ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ 2.44% ตลาดหุ้นอังกฤษ 0.57% และทองคำ 0.49% ส่วนสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนเป็นลบมากที่สุดคือ กองทุน REIT โกลบอล -9.09% พันธบัตรรัฐบาล -4.86% ตลาดหุ้นเกิดใหม่ (EM Equity) -1.99% หุ้นกู้สหรัฐที่เหมาะแก่การลงทุน (Investment grade bonds) -1.42% และหุ้นกู้ตลาดเกิดใหม่ -0.77%
สะท้อนได้ว่าสินทรัพย์รอบปี 2566 ที่ไม่ผันผวนค่าเงินเยน ขึ้นแชมป์อันดับ 1 เปรียบเทียบกับสินทรัพย์อื่นๆ ทั่วโลก เป็นผลมาจากการคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเป็นพิเศษ (Ultra-loose Policy) จากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ใช้มาตรการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ -0.1% และคงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นประเภทอายุ 10 ปีไว้ที่ราวระดับ 0% เพื่อยืนยันที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องและยาวนานส่งผลทำให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าในรอบ 16 ปี และยังอ่อนค่าเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่สินทรัพย์อื่นจะมีความผันผวนจากการเปรียบเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ที่สหรัฐใช้นโยบายขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องจนทำให้ธนาคารกลางอื่นทั่วโลกส่วนใหญ่ขยับดอกเบี้ยขึ้นตามเพื่อลดช่องว่างไม่ให้กว้างมากเกินไป และเกิดเงินไหลออกเช่น ญี่ปุ่น
ปัจจุบันแม้ว่ามีกระแสข่าวกรรมการ BOJ เริ่มพิจารณาควรจะยุตินโยบายผ่อนคลายการเงินแบบพิเศษตามปีงบประมาณซึ่งจะสิ้นสุดในเดือนมี.ค.2567 ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะสามารถตัดสินได้ว่า BOJ จะสามารถบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อได้หรือไม่ที่ระดับ 2%ที่เห็นชัดขึ้น
ทำให้มีการคาดการณ์ว่า BOJ อาจทำการประเมินว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อในช่วงเดือนม.ค.-มี.ค.2567 อีกด้านหมายถึง BOJ ยังคงดอกเบี้ยติดลบต่อไปในช่วงเวลาที่เหลือของปี จึงทำให้เงินไหลกลับไปยังสินทรัพย์ปลอดภัยคือ ค่าเงินเยน
ท่ามกลางปัจจัยใหม่ที่เข้ามากระทบจากการโจมตีของกลุ่มฮามาสต่ออิสราเอลจนกลายเป็นการตอบโต้ และยังมีโอกาสจะยืดเยื้อกลับกลายเป็นเงิน Fund Flow ไหลกลับไปยังสินทรัพย์ค่าเงินเยน เงินดอลลาร์ และพันธบัตรสหรัฐ
วานนี้(10 ต.ค.66) ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.03% แตะที่ระดับ 106.0778 มีปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนพากันถือดอลลาร์ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในตะวันออกกลาง
นอกจากนี้ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าที่ระดับกลางของกรอบการซื้อขาย 148 เยนในการซื้อขายที่ตลาดโตเกียว เนื่องจากนักลงทุนขายเงินดอลลาร์บางส่วนเพื่อซื้อเงินเยนซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในตลาดโตเกียว ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในตะวันออกกลาง
หากจะมองหาการลงทุนช่วงนี้ บล.หยวนต้า พันธบัตรสหรัฐ สินทรัพย์ที่เด่นที่สุดในตอนนี้หลังการประชุม FED ล่าสุด คาการณ์ว่า FED จะเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายในการประชุมรอบล่าสุด (1 พ.ย.66) และจะเป็นจุดเริ่มต้นของการคงอัตราดอกเบี้ยซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเริ่มปรับตัวขึ้น
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์