คว้าโอกาสลงทุนในหุ้นไทย หลังผ่านมรสุมการลงทุน
หนึ่งในตลาดหุ้นที่สร้างผลตอบแทนได้ค่อนข้างน่าผิดหวังตั้งแต่ต้นปี คงหนีไม่พ้นหุ้นไทยบ้านเรา โดยราคาของดัชนี SET Index ดิ่งลงเกือบ 14% สวนทางกับหุ้นโลก (MSCI All Country World Index) ที่ปรับเพิ่มขึ้นได้ราวๆ +8% (ข้อมูล ณ 18 ตุลาคม 2023) ช่วงที่ผ่านมานั้นหุ้นไทยเผชิญกับหลายมรสุมการลงทุนรอบด้าน
ทั้งประเด็นในประเทศ ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปีกับความไม่แน่นอนทางการเมืองก่อนการเลือกตั้ง และล่าสุดก็มีความกังวลถึงผลกระทบทางการคลังจากนโยบาย
Digital Wallet ของรัฐบาลใหม่ นอกจากนั้นยังถูกซ้ำเติมด้วยปัจจัยกดดันจากต่างประเทศ ทั้งทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ เศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวซึ่งมีผลต่อการท่องเที่ยวไทย ตลอดจนเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและฮามาส
โฟกัสทีประเด็นที่หลายฝ่ายกังวลก็คือ การท่องเที่ยวซึ่งเป็นเครื่องจักรหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยจะอ่อนแอกว่าที่ประเมินไว้ จากนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางน้อยกว่าคาดหลังเศรษฐกิจจีนชะลอตัว และยังถูกซ้ำเติมด้วยเหตุสลดที่สยามพารากอน ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวช่วงต้นเดือนตุลาคมลดลงในทันที
หากวิเคราะห์จากเหตุการณ์ลบในอดีต เช่น การประท้วงปิดสนามบิน เหตุการณ์ระเบิดที่สี่แยกราชประสงค์ หรือเหตุการณ์เรือล่มที่ภูเก็ต จำนวนนักท่องเที่ยวปรับตัวลดลงในระยะสั้น และฟื้นตัวกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ในครั้งนี้จึงประเมินว่านักท่องเที่ยวจะฟื้นตัวได้เร็วเช่นกัน เพราะ กำลังเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว (High Season) และยังได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากนโยบาย Free Visa สำหรับชาวจีนและคาซัคสถานด้วย
ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์นักท่องเที่ยวปีนี้ไว้ที่ 27.6 ล้านคน ถือว่ามากกว่าปีที่แล้วถึง 2-3 เท่าตัว และคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้ที่ 3.0% ซึ่งถือว่าสูงสุดนับจากวิกฤตโควิด-19 และทางธนาคารแห่งประเทศไทยคาดเศรษฐกิจในปีหน้าจะเติบโตต่อที่ +4.4% หนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการส่งออกที่ฟื้นตัว ทำให้เศรษฐกิจไทยนั้นสวนทางกับประเทศอื่นๆ ที่อยู่ในทิศทางชะลอตัว
ด้านนโยบายการเงินตึงตัวที่อาจเป็นอุปสรรคของการลงทุนในบางประเทศ แต่ไม่ใช่สำหรับประเทศไทย เพราะ จากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เดือนกันยายนที่ผ่านมา กนง.มีมติขึ้นดอกเบี้ยสู่ระดับ 2.50% พร้อมระบุอย่างชัดเจนว่าดอกเบี้ยระดับนี้มีความเหมาะสมแล้ว นอกจากนั้นเงินเฟ้อล่าสุดอยู่ที่ 0.30% ต่ำกว่าเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นเดือนที่ 5 ทำให้กนง.ไม่มีแรงกดดันด้านราคาที่จะต้องขึ้นดอกเบี้ยต่อ สะท้อนว่าดอกเบี้ยไทยได้ถึงจุดสูงสุดเรียบร้อยแล้ว
ส่วนปัจจัยลบที่กดดันในช่วงที่ผ่านมาก็เริ่มคลี่คลายลงบ้าง ไม่ว่าจะเป็นผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทั้งในฝั่งสหรัฐฯ และไทยที่เริ่มทรงตัว หลังพุ่งขึ้นแรงในเดือนกันยายน ด้านค่าเงินบาทก็มีแนวโน้มผ่านจุดที่อ่อนค่าที่สุดไปแล้ว และสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ทยอยแข็งค่าขึ้นหนุนจากกระแสเงินไหลเข้าในตลาดหุ้นและตราสารหนี้ โดยทางธนาคารกสิกรไทยคาดจะแข็งค่าสู่ระดับ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2023 สำหรับนโยบาย Digital Wallet ก็คาดว่าจะมีข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้นภายในสิ้นเดือนนี้
จากปัจจัยสนับสนุนข้างต้น ประกอบกับราคาของตลาดหุ้นไทยในตอนนี้ที่มีความน่าสนใจลงทุนมากขึ้นหลังจากที่ปรับลงมาแรง ราคาเทียบกับกำไรต่อหุ้น หรือ P/E Ratio ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ถูก ซื้อขายที่ระดับ 14.4 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่ 15.5 เท่า และหากเทียบกับหุ้นโลกที่ 15.9 เท่า จึงมองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าลงทุน
แต่ด้วยสัดส่วนใหญ่ของตลาดหุ้นไทยนั้นยังอยู่ในอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่อาจมีศักยภาพในการเติบโตไม่สูงมากนัก เช่น กลุ่มพลังงานที่ราคาผันผวนตามราคาน้ำมันดิบโลก กลุ่มธนาคารที่ยังเน้นธุรกิจการปล่อยสินเชื่อ และกลุ่มการแพทย์ที่ยังเน้นโรงพยาบาลไม่ใช่นวัตกรรมการแพทย์
การลงทุนในหุ้นไทยจึงต้องเลือกกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นขนาดกลาง-เล็ก และมีการบริหารเชิงรุก เลือกหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่มีพื้นฐานดี มีแนวโน้มการเติบโตสูง และปรับพอร์ตให้เข้ากับสถานการณ์เศรษฐกิจและตลาดทุนอย่างสม่ำเสมอ เชื่อว่าการเลือกเฟ้นหุ้นไทยคุณภาพดีหลังจากผ่านมรสุมรอบด้านจะเป็นอีกหนึ่งขุมทรัพย์ชิ้นสำคัญเพื่อเติมเต็มพอร์ตการลงทุน