ดาวโจนส์ร่วงกว่า 200 จุด กังวลจีดีพีแกร่งหนุนเฟดขึ้นดอกเบี้ย
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันพฤหัสบดี(26ต.ค.)ร่วงลงกว่า 200 จุด หลุดระดับ 33,000 จุด หลังการเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 3/2566 ที่แข็งแกร่ง
- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ลดลง 251.63 จุด หรือ 0.76% ปิดที่ 32,784.30 จุด
- ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 49.54 จุด หรือ 1.18% ปิดที่ 4,137.23 จุด
- ดัชนีแนสแด็ก ลดลง 225.62 จุด หรือ 1.76% ปิดที่ 12,595.61 จุด
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันพฤหัสบดี (26ต.ค.) ร่วงลงกว่า 200 จุด หลุดระดับ 33,000 จุด หลังการเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 3/2566 ที่แข็งแกร่ง ซึ่งแม้จะช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่ก็จะเป็นปัจจัยหนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
นอกจากนี้ ดัชนีแนสแด็ก ดิ่งลง 1.9% หลังจากทรุดตัวลง 2.4% วานนี้ ตามการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ส่งผลให้ดัชนีแนสแด็กเข้าสู่ภาวะปรับฐาน (Market Correction) โดยดัชนีได้ปรับตัวลงมากกว่า 10% จากจุดสูงสุดที่ทำไว้ในเดือนก.ค. และหากดัชนีปรับตัวลงต่อไปจนดิ่งลง 20% จากจุดสูงสุดล่าสุด ก็จะส่งผลให้ดัชนีเข้าสู่ภาวะตลาดหมี (Bear Market)
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 3/2566 ในวันนี้ โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 4.9% ในไตรมาสดังกล่าว สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 4.7% หลังจากมีการขยายตัว 2.0% และ 2.1% ในไตรมาส 1 และ 2 ตามลำดับ
ในการกล่าวถ้อยแถลงครั้งล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ส่งสัญญาณเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ และย้ำว่าตลาดแรงงานและการขยายตัวทางเศรษฐกิจจำเป็นต้องชะลอตัวลงเพื่อให้เฟดบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อ
"เงินเฟ้อยังคงอยู่สูงเกินไป และข้อมูลที่ดีเกี่ยวกับเงินเฟ้อในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นสำหรับการสร้างความมั่นใจว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวลงอย่างยั่งยืนไปสู่เป้าหมายของเรา หนทางข้างหน้าอาจจะไม่ราบรื่น และต้องใช้เวลานาน ผมและเจ้าหน้าเฟดเห็นพ้องกันต่อพันธกรณีในการควบคุมเงินเฟ้อให้ลดลงอย่างยั่งยืนสู่ระดับ 2% ซึ่งการที่เฟดจะบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ระดับ 2% อย่างยั่งยืนนั้น จำเป็นที่เศรษฐกิจจะต้องมีการขยายตัวต่ำกว่าแนวโน้ม และตลาดแรงงานจะต้องชะลอตัวลง" นายพาวเวลกล่าวในการประชุมที่สมาคมเศรษฐกิจแห่งนิวยอร์ก (Economic Club of New York)
ราคาหุ้นของบริษัท เมตา แพลตฟอร์ม อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊กและอินสตาแกรม (IG) ดิ่งลงกว่า 2% ในวันนี้ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับรายได้จากการโฆษณา และการขาดทุนในธุรกิจเมตาเวิร์ส แม้บริษัทเปิดเผยตัวเลขกำไรและรายได้โดยรวมสูงกว่าคาดในไตรมาส 3/2566
นอกจากนี้ ราคาหุ้นเมตา ยังถูกกดดันจากการที่อัยการสูงสุดจาก 42 รัฐทั่วสหรัฐได้รวมตัวกันฟ้องบริษัทในข้อหามอมเมาเยาวชนในการใช้เฟซบุ๊กและอินสตาแกรม จนทำให้มีการเสพติดโซเชียลมีเดีย
ส่วนราคาหุ้นของบริษัท อัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ร่วงลงกว่า 1% เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังรายได้จากธุรกิจคลาวด์ที่ต่ำกว่าคาด แม้บริษัทเปิดเผยกำไรและรายได้ในไตรมาส 3/2566 สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์