PTTGC ไตรมาส 3/66 พลิกกำไร 1.43 พันล้าน อานิสงส์ธุรกิจโรงกลั่นหนุน
PTTGC เผยไตรมาส 3 ปี 66 พลิกกำไรสุทธิ 1.42 พันล้าน เติบโต 110.64% เหตุอานิสงส์ “ธุรกิจโรงกลั่น” หนุน พร้อมคาดการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบในปีหน้าอยู่ที่ 75-85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC รายงานผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2566 พลิกมีกำไรสุทธิ 1,426.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 110.64% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 13,404.04 ล้านบาท ขณะที่งวด 9 เดือน ขาดทุน 4,082.28 ล้านบาท ขาดทุนลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุน 9,430.13 ล้านบาท หรือคิดเป็น 57%
โดยในไตรมาส 3 ปี 66 บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 160,392 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่ปรับตัวลดลง 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้รวมในไตรมาสนี้ปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า จากกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้น โดยเฉพาะธุรกิจโรงกลั่นที่ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมปรับตัวเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่ ปริมาณการขายในภาพรวมปรับตัวสูงขึ้น สอดคล้องกับอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้นของกลุ่มธุรกิจโอเลฟินส์ และกลุ่มธุรกิจโพลิเมอร์ปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาสนี้ แม้ว่าจะมีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงงานอะโรเมติกส์แห่งที่ 2 นอกจากนี้ในไตรมาส 3 ปี 66 ท่ามกลามสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในระดับสูง บริษัทเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการปรับปรุงโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 ซึ่งทำให้บริษัทสามารถใช้โพรเพนเป็นวัตถุดิบในการผลิตได้เพิ่มขึ้น โดยโครงการดังกล่าวเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้วัตถุดิบและเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารต้นทุนของบริษัท
สำหรับไตรมาส 3 ปี 2566 บริษัท รายงาน Adjusted EBITDA อยู่ที่ 12,307 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 80% โดยหลักจากค่าการกลั่นที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ในกลุ่มธุรกิจอะโรเมติกส์ปรับตัวลดลงเล็กน้อย เนื่องจากปริมาณการขายปรับลดลงจากการหยุดซ่อมบำรุงตามที่กล่าวข้างต้นเป็นหลัก นอกจากนี้ผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์และเคมีภัณฑ์มีผลประกอบการปรับสูงขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากปริมาณขายที่เติบโตขึ้น 10%
ขณะที่ราคาเม็ดพลาสติกโพลิเอทีลีนเฉลี่ยปรับลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าเล็กน้อย จากอุปสงค์ที่ยังคงได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน ประกอบกับยังมีอุปทานส่วนเกินในตลาดในขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลางมีผลประกอบการดีขึ้น โดยหลักจากธุรกิจโมโนเอทีลีนไกลคอลที่กลับมาดำเนินการผลิตหลังจากหยุดซ้อมบำรุงใหญ่ตามแผน
ทั้งนี้ ธุรกิจปิโตรเคมีรวมยังอยู่ในภาวะอ่อนตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงกดดันจากปัจจัยทั้งในด้านภาวะเศรษฐกิจถดถอยซึ่งส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ปลายทางของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี และการเริ่มดำเนินการของกำลังการผลิตใหม่ในตลาดโดยเฉพาะจากจีน บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในไตรมาสนี้ 179 ล้านบาท
สำหรับความคืบหน้าโครงการสำคัญ ในไตรมาส 3/66 โครงการปรับปรุงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 ดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือน ก.ค. ที่ผ่านมาทำให้บริษัทสามารถใช้โพรเพนเป็นวัตถุดิบในการผลิตได้เพิ่มขึ้น โดยโครงการดังกล่าวสอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ของบริษัทในการเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้วัตถุดิบและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว ทำให้กำลังการผลิตติดตั้งของผลิตภัณฑ์เอทีลีนและผลิตภัณฑ์โพรพิลีนรวมเพิ่มขึ้นจาก 3.68 ล้านตันต่อปี เป็น 3.79 ล้านตันต่อปี
สำหรับแนวโน้มตลาดและธุรกิจในปี 67 คาดสถานการณ์เศรษฐกิจโลกโดยรวมมีแนวโน้มเติบโตลดลง แม้ว่าจะมีการฟื้นตัวจากโควิด-19 สงครามในยูเครน และวิกฤตพลังงาน แต่ทั้งนี้ การเติบโตของโลกมีแนวโน้มอ่อนแอทั้งในภาพรวมและรายประเทศ ประกอบกับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงในรอบกว่าทศวรรษในประเทศสำคัญของโลก และการเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ความแตกแยกทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ทั้งจากความยืดเยื้อของสถานการณ์สงครามในรัสเซียและยูเครน และประเด็นการสู้รบระหว่างอิสราเอลและฮามาส จึงคาดว่าการเติบโตจะชะลอตัวลงเหลือ 2.9%
อย่างไรก็ตาม คาดว่า เศรษฐกิจจะค่อยๆคลี่คลายลงช้าๆในช่วงครึ่งปีหลัง จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของนานาชาติ และจะทำให้ภาพรวมทางเศรษฐกิจเริ่มมีทิศทางดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
สำหรับกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้น คาดการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 67 อยู่ที่ 75-85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยยังมีความกดดันของภาวะเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า รวมถึงความไม่แน่นอนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน สำหรับผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมของโรงกลั่น คาดว่าสถานการณ์ราคาและส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์ในปี 67 มีแนวโน้มอ่อนตัวลงจากปี 66 เนื่องจากปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจ
ขณะที่ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีของโรงอะโรเมติกส์ คาดว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์พาราไซลีนกับแนฟทาในปี 67 จะปรับตัวลดลงอยู่ที่ 370-390 ดอลลาร์ต่อตัน ปรับตัวลดลงจากปีนี้ สำหรับส่วนต่างของราคาเบนซีนและแนฟทาจะอยู่ที่ 240-260 ดอลลาร์ต่อตัน ใกล้เคียงกับปีนี้ ส่วนผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีของโรงโอเลฟินส์ คาดว่าราคาผลิตภัณฑ์เอทีลีนจะอยู่ที่ 900-950 ดอลลาร์ต่อตัน เป็นต้น