หุ้นไทยปิดตลาดเช้าดิ่ง 18 จุด กลุ่มค้าปลีก - BH ผลงานต่ำคาด ‘โบรกเกอร์’ แนะทยอยสะสม
หุ้นไทยปิดตลาดภาคเช้า (9 พ.ย.66 เวลา 12.30 น.) ที่ 1,393.56 จุด ลดลง 18.21 จุด หรือ -1.29% หุ้นกลุ่มค้าปลีก และหุ้น BH ผลงานต่ำคาดฉุดหุ้นไทยดิ่ง โบรกเกอร์ "แนะ" ถือเป็นจังหวะเข้าทยอยสะสม
ความผันผวนของตลาดหุ้นไทยยังคงมีอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐจะคงอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมาลึกจากหุ้นกลุ่มค้าปลีกที่ผลประกอบการไตรมาส 3/ 66 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ขณะที่หุ้น BH ปรับตัวลงมาแรงเช่นกัน แม้ว่าผลประกอบการจะออกมาดี แต่นักวิเคราะห์ต่างชาติประเมินว่า ยังคงมีความเสี่ยงจากลูกค้าฝั่งตะวันออกกลาง
สำหรับตลาดหุ้นไทยปิดตลาดภาคเช้า (9 พ.ย.66 เวลา 12.30 น.) ที่ 1,393.56 จุด ลดลง 18.21 จุด หรือ -1.29%
ขณะที่หุ้น BH ปิดตลาดภาคเช้าราคาอยู่ที่ระดับ 233.00 บาท ลดลง 16.00 บาท หรือ -6.43%
ส่วนกลุ่มค้าปลีกที่ปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก และเป็นตัวฉุดดัชนีหุ้นไทยลงมา มีดังนี้
- BJC ปิดตลาดภาคเช้าราคาอยู่ที่ระดับ 27.00 บาท ลดลง 2.75 บาท หรือ -9.24%
- COM 7 ปิดตลาดภาคเช้าราคาอยู่ที่ระดับ 24.60 บาท ลดลง 2.40 บาท หรือ -8.89%
- CPAXT ปิดตลาดภาคเช้าราคาอยู่ที่ระดับ 26.50 บาท ลดลง 1.50 บาท หรือ -5.36%
- CPALL ปิดตลาดภาคเช้าราคาอยู่ที่ระดับ 54.50 บาท ลดลง 1.25 บาท หรือ -2.24%
วทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย ให้ข้อมูลกับกรุงเทพธุรกิจว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ (9 พ.ย.66) Underperfrom ลบอยู่ประมาณ 1.2% ส่วนไต้หวัน กับฮ่องกง ลดลงมาแค่ 0.1% ซึ่งสวนทางกับตลาดหุ้นเอเชียที่ส่วนใหญ่จะเขียวขึ้นมาได้
สาเหตุที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมาแรงในวันนี้ (9 พ.ย.66) มาจาก หุ้น BH หรือโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) เป็นตัวกดตลาดหุ้นไทยลงมาประมาณ 1 จุด แม้ว่างบไตรมาส 3/66 จะมีกำไรเพิ่มขึ้นแต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ขณะเดียวกันมีโบรกเกอร์ดังต่างประเทศ มองหุ้น BH มีความเสี่ยงในช่วงถัดไป ซึ่งประมาณ 65 -70% ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าชาวต่างชาติ โดยเฉพาะลูกค้าฝั่งตะวันออกกลางที่กำลังมีการสู้รบกันอยู่อย่างต่อเนื่อง ทำให้โบรกเกอร์ดังต่างประเทศ มีความกังวลว่า BH จะได้รับผลกระทบในช่วงถัดไป จีงทำให้มีความระมัดระวังมากขึ้นกับหุ้น BH
สำหรับ ผลประกอบการ BH รายงานงบไตรมาส 3/66 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,954.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.18% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1,501.34 ล้านบาท เป็นผลมาจากรายได้รวม 6,775 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน 5,740 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากรายได้กิจการโรงพยาบาล 6,720 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.5% โดยหลักเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยชาวไทย และผู้ป่วยต่างชาติ
ส่วนผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปี 2566 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 5,285.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.81% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน 3,392.33 ล้านบาท เป็นผลมาจากรายได้จากกิจการโรงพยาบาล 18,799 ล้านบาท
ประเด็นที่ 2 หุ้นกลุ่มค้าปลีก วันนี้ถือว่า เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่ฉุดตลาดหุ้นไทยลงมาด้วยเช่นกัน ราคาส่วนใหญ่ปรับตัวลงมามาก และมีผลกับดัชนีหุ้นไทยมากคือ หุ้น CPAXT หรือ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ที่ฉุดตลาดลงมากว่า 2 จุด ซึ่งหลักๆ ที่กดดัน CPAXT กำไรไตรมาส 3/66 มีรายงานออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ประมาณเกือบ 10% เกิดจากค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ในช่วงที่ผ่านมามีการเปิดสาขาเพิ่มมากขึ้น มีค่าไฟที่สูงขึ้นมา ในขณะที่ยอดขายรายได้ภาพรวมยังสามารถเติบโตได้อยู่ที่ประมาณ 3% แต่มามีค่าใช้จ่ายที่เป็นตัวกดดันกำไร
ขณะที่ หุ้น CPALL เป็นอีกหนึ่งตัวที่กดตลาดหุ้นลงมาด้วย เป็นตัวที่รับแรงกดดันมาจาก CPAXT เพราะถือหุ้นใหญ่อยู่ นอกจากนี้ BJC ที่เป็นตัวกดตลาดอีกเช่นกัน เนื่องจากผลประกอบการ ไตรมาส 3 ไม่ค่อยดี แม้ว่ารายได้จะออกมาดีก็ตาม แต่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก ซึ่งต่ำกว่าบลูมเบิร์กคาดการณ์ไว้ประมาณ 38%
นอกจากนี้ หุ้น COM 7 ปรับตัวร่วงลงมาแรงเช่นกัน อาจจะเป็นยอดขายไอโฟน 15 ไม่ดี เพราะรายได้หลักของ COM7 อยู่ที่ขายอุปกรณ์ไอทีที่ยอดขายอาจจะยังไม่ได้ดีมากนัก
ทั้งนี้ ตลาดได้รับรู้ข่าวร้ายไปแล้ว เรื่องงบการเงิน แต่วันนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกมีปัจจัยบวกอยู่จากกรณีอัตราดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐที่ผ่านจุดพีคไปแล้ว มองว่า ตลาดหุ้นอาจจะมีการปรับลงแต่ดาวน์ไซด์เริ่มมีจำกัด ส่วนผลประกอบการที่ออกมาแย่เป็นสถานการณ์เพียงชั่วคราว แต่ปัจจัยพื้นฐานยังดีอยู่ไม่ได้มีการเปลี่ยน เป็นโอกาสที่นักลงทุนสามารถเข้าไปซื้อทยอยสะสมได้ สำหรับหุ้นไทย เพราะ Valuation ไม่แพง P/E วันนี้อยู่ที่ 14 เท่า
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์