หุ้นไทยดิ่งหนัก ต่ำสุดในรอบ 3 ปี ปิดตลาดเย็นร่วงแรง 16 จุด ดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,357.97 จุด
“ตลาดหุ้นไทย” วันนี้ (13 ธ.ค.66) ปิดตลาดเย็นอยู่ที่ 1,357.97 จุด ลบ 15.95 จุด หรือ 1.16% "นักวิเคราะห์" ชี้ ดัชนีหุ้นไทยดำดิ่ง ต่ำสุดในรอบ 3 ปี กดดันกลุ่มพลังงาน หลังราคาน้ำมันร่วง ขณะที่หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า ค่าเอฟทียังไม่ชัดเจน
ตลาดหุ้นไทยยังคงได้รับความผันผวนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทย (13 ธ.ค.66) ต่ำสุดในรอบ 3 ปี หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบร่วงแรงส่งผลกระทบต่อกลุ่มพลังงาน และโรงไฟฟ้าที่ยังคงไม่ได้รับความชัดเจนจากนโยบายภาครัฐ ขณะที่ค่าเงินบาทอ่อนค่ามากสุดในภูมิภาค
โดยความเคลื่อนไหวดัชนีตลาด “หุ้นไทยวันนี้” วันนี้ (13 ธ.ค.66) ปิดตลาดอยู่ที่ 1,357.97 จุด ลบ 15.95 จุด หรือ 1.16% ซึ่งทำจุดต่ำสุดวันนี้อยู่ที่ 1,354.73 จุด และสูงสุดอยู่ที่ 1,370.39 จุด มูลค่าซื้อขาย 37,984.99 ล้านบาท
หุ้นที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 5 ลำดับแรก ได้แก่
- CPALL มูลค่า 2,248.9 ล้านบาท ราคาหุ้นอยู่ที่ 51.00 บาท ลดลง 1.75 บาท หรือ -3.32%
- PTT มูลค่า 1,709.02 ล้านบาท ราคาหุ้นอยู่ที่ 35.75 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง
- BDMS มูลค่า 1,494.66 ล้านบาท ราคาหุ้นอยู่ที่ 25.75 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง
- BBL มูลค่า 1,359.40 ล้านบาท ราคาหุ้นอยู่ที่ 148.50 บาท ลดลง 2.00 บาท หรือ -1.33%
- AOT มูลค่า 1,246.33 ล้านบาท ราคาหุ้นอยู่ที่ 59.00 บาท ลดลง 0.50 บาท หรือ -0.84%
ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลกับกรุงเทพธุรกิจว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยปรับลงมาอยู่ที่ระดับ 1,356 จุด หรือดิ่งลงมากว่า 17 จุด (เวลา 16.00 น.) ซึ่งต่ำสุดในรอบ 3 ปี หากนับย้อนไปตั้งแต่เดือนพ.ย.2560
โดยกลุ่มที่ปรับตัวลงมาค่อนข้างมากคือ กลุ่มพลังงาน หลังจากที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง ส่งผลให้ฉุดหุ้นโรงไฟฟ้าลงมาด้วย เนื่องจากค่าเอฟทียังมีความไม่ชัดเจน ซึ่งรัฐบาลก่อนหน้านี้บอกไว้ที่ 4.68 บาท และปรับลงมาที่ 4.20 บาท และคาดว่าจะปรับลดลงมาต่ำกว่านี้อีก จึงเป็นผลกระทบเชิงลบต่อหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า
ส่วนค่าเงินบาท หากย้อนไปช่วง 2 วันก่อนหน้า อ่อนกว่าภูมิภาคเอเชีย สาเหตุมาจากดุลการค้าที่ไทยกลับมาขาดดุลในเดือนต.ค.66 ที่มีการรายงานออกมา ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลงมา รวมถึงนโยบายรัฐ อย่างดิจิทัลวอลเล็ตยังคงต้องรอความชัดเจน และขณะนี้ยังไม่มีนโยบายที่จะเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจได้ ขณะที่เศรษฐกิจจีนมีการชะลอตัวลง บวกกับนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาในประเทศไทยค่อนข้างน้อย ซึ่งการท่องเที่ยวถือเป็นสิ่งสำคัญที่เม็ดเงินสามารถไหลเข้าเป็นหลัก พอนักท่องเที่ยวมาน้อยกว่าที่คาดไว้ จึงทำให้เงินบาทได้รับผลกระทบดังกล่าวไปด้วย
ขณะเดียวกัน ช่วงที่ผ่านมา ในช่วงเดือนธ.ค.มีวันหยุดค่อนข้างมาก ติดต่อกันถึง 2 สัปดาห์ ส่งผลให้นักลงทุนจึงหันไปลงทุนยังตลาดหุ้นต่างประเทศแทน รวมถึงเป็นช่วงที่ต่างประเทศมีการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ ๆ ออกมา
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของตราสารหนี้กลับมีต่างชาติเข้ามาซื้อมากสุดในรอบ 4 วัน ประมาณเกือบ 2,000 ล้านบาท ถือเป็นสัญญาณที่ดี รวมถึงผ่านการประชุมเฟดจะส่งผลให้แรงกดดันค่าเงินจะลดลง และในสัปดาห์หน้ากองทุน TESG จะมีเม็ดเงินใหม่เข้ามาช่วย หลังจากที่ได้มีการเปิดขายแล้ว โดยมองว่า ดาวไซด์คาดว่าจะอยู่ที่ 1,350 จุด ซึ่งน่าจะฟื้นตัวกลับขึ้นไปได้
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์