'หุ้นจีน' เรียงแถวปรับตัวขึ้น หลังรัฐบาลอุ้มตลาด แม้กูรูชี้เป็นการพุ่งแบบ 'ไม่ยั่งยืน'
เมื่อวานนี้ (23 ม.ค.2567) ดัชนีตลาดหุ้นจีน และฮ่องกงทั้งในประเทศ และต่างประเทศปรับตัวสูงขึ้น หลังรัฐบาลอัดเงิน 2 ล้านล้านหยวน (2.78 แสนล้านดอลลาร์) เพื่อซื้อหุ้นในประเทศผ่านการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ ทว่านักลงทุนจำนวนมากยังมองว่าเป็นการปรับตัวขึ้นที่ไม่ยั่งยืน
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานวันนี้ (24 ม.ค.67) ว่า แม้ช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลจีนจะออกมาตรการจำนวนหนึ่งเพื่อประคับประคองตลาดหุ้นหลังจากได้รับผลกระทบอย่างหนักจากความเชื่อมั่นที่หดหายเพราะความปั่นป่วนในภาคอสังหาริมทรัพย์ ทว่านักลงทุนจำนวนมากยังมองว่าปัญหาในตลาดหุ้นจะยังคงอยู่ต่อไปหากรัฐบาลยังไม่แก้ปัญหา “เชิงโครงสร้าง” เสียก่อน
การผสมผสานของข่าวเชิงบวกที่แทบไม่เกิดขึ้นในประเทศจีนช่วงนี้ การก่อตั้ง "กองทุนรักษาเสถียรภาพตลาดหุ้น" รวมทั้งคําสั่งของนายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง (Li Qiang) ในการทําให้ตลาดกลับสู่ "สภาวะปกติ" ทําให้ดัชนีหุ้นจีนปรับตัวพุ่งขึ้นเมื่อวานนี้
อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์ของจีนเกี่ยวกับความพยายามในการช่วยเหลือตลาดที่มี "ปัญหาเชิงโครงสร้าง" สถานะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแผนงานนโยบายระยะยาวของรัฐบาลทําให้นักลงทุนตั้งคำถามเกี่ยวกับความยั่งยืนของการปรับตัวขึ้นครั้งนี้
หากสุดท้ายการปรับตัวขึ้นของดัชนีฯ นั้นเป็นไปอย่างไม่ยั่งยืน ทั้งหมดจะเพิ่มความเสี่ยงให้ตลาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกดดันให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนหายไปอีก
ทั้งหมดเป็นราคาที่รัฐบาลไม่สามารถจ่ายได้ เนื่องจากนักลงทุนกําลังหมุนวงล้อจากการขาดทุนที่มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ในตลาดหุ้นในประเทศเป็นเวลาสามปีติดต่อกัน ท่ามกลางตลาดหุ้นทั่วโลกที่ยังไม่สดใสมากนัก
"คนรอบข้างของสี จิ้นผิง ( Xi Jinping) น่าจะบอกเขาว่าการปรับตัวลดลงในตลาดตราสารทุนเป็นความเสี่ยงด้านเสถียรภาพ" จอร์จ แม็กนัส (George Magnus) ผู้ร่วมวิจัยจาก China Centre ของมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด กล่าว
"นักลงทุนไม่ได้ละทิ้งหุ้นจีนด้วยเหตุผลปกติของการประเมินมูลค่า แต่เป็นเพราะนโยบายเศรษฐกิจ และสภาพแวดล้อมทางการเมืองทั้งหมดเสื่อมโทรม การเรียกความมั่นใจกลับคืนมาอาจจําเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เช่น การปฏิรูปเชิงโครงสร้าง"
นโยบายล่าสุดที่รวมถึงการอัดเงิน 2 ล้านล้านหยวน (2.78 แสนล้านดอลลาร์) เพื่ออุ้มตลาดหุ้นในประเทศผ่านการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศแสดงให้เห็นถึงความกระตือรือร้นของทางการในการแก้ไขปัญหา ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากเห็นมูลค่าตลาดของตลาดหุ้นจีน และฮ่องกงลดลงมากกว่า 6 ล้านล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่ถึงจุดสูงสุดในปี 2564 เพราะมูลค่าของตลาดตราสารทุนของจีนไม่เคยตามหลังสหรัฐมากขนาดนี้มาก่อน
ทั้งนี้ ดัชนี Hang Seng China Enterprises เพิ่มขึ้น 2.8% ในวันอังคาร จนนับว่าเป็นการปิดวันที่ดีที่สุดในปีนี้ในขณะที่ดัชนีหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่เพิ่มขึ้น 0.4% หลังจากร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี
ขณะที่ ดัชนี Nasdaq Golden Dragon China ของหุ้นจีนที่จดทะเบียนในสหรัฐพุ่งขึ้นมากถึง 6.3% ในการซื้อขายช่วงต้น ซึ่งเป็นการซื้อขายล่วงหน้าระหว่างวันที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.
โดยหุ้น Alibaba Group Holding Ltd พุ่งขึ้นกว่า 8% จากรายงานที่ว่า แจ็ค หม่า (Jack Ma) ผู้ก่อตั้งเข้าซื้อหุ้นของบริษัทจำนวนมาก
"เมื่อพิจารณาว่าหุ้นจีนราคาถูกแค่ไหน และตอนนี้มีคนซื้อน้อยเพียงใด เราจะไม่แปลกใจกับความเชื่อมั่น และราคาที่เพิ่มขึ้นในระยะสั้น" อนินดา มิตรา (Aninda Mitra) หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์มหภาค และการลงทุนในเอเชียของ BNY Mellon Investment Management กล่าว
"แต่เรายังตั้งข้อสงสัยในความยั่งยืนของการปรับขึ้นครั้งนี้ เว้นแต่สิ่งเหล่านี้จะเสริมด้วยนโยบายการปฏิรูปเศรษฐกิจวงกว้าง
อ้างอิง
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์