“ไอร่า แอนด์ ไอฟุล” เลื่อนเสนอขาย IPO หวั่นตลาดหุ้นไม่เอื้อ

“ไอร่า แอนด์ ไอฟุล”  เลื่อนเสนอขาย IPO หวั่นตลาดหุ้นไม่เอื้อ

"ไอร่า แอนด์ ไอฟุล" หรือ A&A บริษัทย่อย บล.ไอร่า แจ้งเลื่อนเสนอขายหุ้นไอพีโอออกไป หลังภาวะตลาดหุ้น และเศรษฐกิจไม่เอื้อระดมทุน

 

บริษัท ไอฟุล คอร์ปอเรชั่น ผู้ให้บริการธุรกิจการเงินชั้นนำในประเทศญี่ปุ่น และบมจ.ไอร่า แคปปิตอล (AIRA) ผู้ให้บริการทางการเงินแบบครบวงจร ผู้ถือหุ้นหลักของ บมจ.ไอร่า แอนด์ ไอฟุล (A&A) ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทได้ยื่นคำขอถอนการออก และเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกใหม่ต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยเลื่อนแผนการนำหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ mai ออกไป

สาเหตุหลักมาจากสภาวะเศรษฐกิจ และสถานการณ์ความพร้อมของตลาดทุนทั้งใน และต่างประเทศที่มีความผันผวน ทำให้ไม่สามารถทราบถึงผลกระทบต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ บริษัทจึงเห็นว่าช่วงเวลานี้ยังไม่เหมาะสมที่จะดำเนินการ IPO

        อย่างไรก็ตาม บริษัทยังเชื่อมั่นในศักยภาพของ A&A ในฐานะหนึ่งในผู้นำธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลชั้นนำในประเทศไทย ที่มีความสามารถในการเติบโตอย่างต่อเนื่องผ่านการขยายธุรกิจ และการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับสถาบันการเงินชั้นนำในระดับสากล

        ทางบริษัทมีความตั้งใจจะดำเนินการ IPO อีกครั้งเมื่อสถานการณ์เอื้ออำนวย ทั้งนี้หากมีความคืบหน้าอื่นใด บริษัทจะรายงานให้นักลงทุน และผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายทราบต่อไป

    ทั้งนี้  A&A ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 1,666,670,000 หุ้น คิดเป็น 25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่จำหน่ายแล้วทั้งหมดภายหลัง IPO และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมี บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

   วัตถุประสงค์ในการใช้เงินจากการระดมทุนเพื่อใช้เป็นเงินทุนสำหรับการขยายธุรกิจให้สินเชื่อ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจปกติของบริษัท รวมทั้งชำระคืนเงินกู้ยืมบางส่วนจากสถาบันการเงิน และถือหุ้นใหญ่ของบริษัท

    A&A เป็นการร่วมลงทุนระหว่าง บมจ.ไอร่า แคปปิตอล (AIRA) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในแวดวงธุรกิจด้านการเงิน และการลงทุน และบริษัท ไอฟุล คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลซึ่งจดทะเบียนใน Prime Market of the Tokyo Stock Exchange (TSE) ในประเทศญี่ปุ่น

      บริษัทประกอบธุรกิจให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับที่มิใช่สินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน และสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับ (นาโนไฟแนนซ์) โดยบริษัทได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ และใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับจากกระทรวงการคลัง

   ปัจจุบัน บริษัทได้ให้บริการสินเชื่อเงินสดหมุนเวียนผ่านบัตรกดเงินสดเป็นหลัก ซึ่งประกอบด้วย 1) บัตรเอมันนี่ (A Money) และ 2) บัตรเบนิฟิท พลัส (Benefit Plus) โดยรายได้ของบริษัทที่เกิดจากธุรกิจสินเชื่อเงินสดหมุนเวียน ประกอบด้วย ดอกเบี้ยรับจากเงินกู้ยืม (Interest Income) และค่าธรรมเนียมอื่นๆ อาทิ ค่าใช้จ่ายในการติดตามทวงถามหนี้ (Collection Fee) และค่าธรรมเนียมในการออกบัตรใหม่ เป็นต้น

    บริษัทมีสาขาให้บริการแก่ลูกค้าครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศไทย ทั้งในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด ในจุดที่มีประชากรหนาแน่น โดยเลือกทำเลที่ตั้งในบริเวณห้างสรรพสินค้าชั้นนำที่อยู่ในพื้นที่แหล่งชุมชน ซึ่งครอบคลุม 27 จังหวัดในประเทศไทย โดย ณ 30 มิถุนายน 2566 บริษัทมีสาขาทั้งสิ้น 27 สาขา โดยแบ่งเป็น กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล 13 สาขา ภาคเหนือ 2 สาขา ภาคกลาง 3 สาขา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 สาขา ภาคตะวันออก 3 สาขา และภาคใต้ 3 สาขา

    ณ วันที่ 30 มิ.ย.66 บริษัทมีบูธจัดกิจกรรมทางการตลาด โดยจะเป็นจุดให้บริการรับเอกสารการสมัครขอสินเชื่อหมุนเวียน ขอเพิ่มวงเงิน ให้กับลูกค้า จำนวน 8 แห่ง ได้แก่ (1) บิ๊กซี นครปฐม (2) โลตัส นวนคร (3) เยส บางพลี พลาซ่า (4) บิ๊กซี ศรีมหาโพธิ์ ปราจีนบุรี (5) บิ๊กซี พัทยาใต้ (6) ฮารเบอร์มอลล์ แหลมฉบัง ชลบุรี (7) บิ๊กซี ภูเก็ต และ (8) ซีเค พล่าซ่า ระยอง

    และบริษัทได้พัฒนาเว็บไซต์ www.amoney.co.th เพื่อให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับองค์กร และเพื่อให้บริการลูกค้าในการสืบค้นข้อมูล รวมถึงบริษัทได้พัฒนา Mobile Application ในชื่อของ A Money Application เพื่อรองรับการทำธุรกรรมผ่านมือถือ และสมาร์ตโฟน เพื่อให้บริการออนไลน์แบบครบวงจรแก่ลูกค้า

    โครงสร้างผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 24 ก.ค.66 มี กลุ่มบริษัทไอฟุล คอร์ปอเรชั่น และผู้ถือหุ้นชาวญี่ปุ่น ถือหุ้น 2,487,500,000 หุ้น คิดเป็น 49.75% ภายหลัง IPO จะลดสัดส่วนลงเหลือ 37.31% ขณะที่ AIRA (มีตระกูลจุฬางกูร ถือหุ้นหลัก) ถือหุ้น 1,500,000,000 หุ้น คิดเป็น 30% จะลดลงเหลือ 22.50%

   ผลประกอบการปี 63-65 บริษัทมีรายได้รวม 1,753.22 ล้านบาท 1,664.41 ล้านบาท และ 1,889.78 ล้านบาท ตามลำดับ โดยรายได้หลักมาจากรายได้ดอกเบี้ย ขณะที่มีผลขาดทุน 55.60 ล้านบาท ในปี 63 ก่อนจะพลิกเป็นกำไร 301.83 ล้านบาท และ 192.96 ล้านบาท ในปี 64 และ 65  ขณะที่ไตรมาส 1/66 บริษัทมีรายได้ 444.18 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 24.93 ล้านบาท

     ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้ และหักสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายกำหนด

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์