หุ้นโลก ‘ออลไทม์ไฮ’ ทำไมหุ้นไทยต่ำลงเรื่อยๆ

หุ้นโลก ‘ออลไทม์ไฮ’ ทำไมหุ้นไทยต่ำลงเรื่อยๆ

ปีนี้ถือเป็นปีทองของตลาดหุ้นโลก โดยเฉพาะ 3 ดัชนีหุ้นสหรัฐ ที่ทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้แต่ Nikkei ของ ญี่ปุ่น ที่ล่าสุดทะลุระดับ 40,000 จุด สวนทางกับภาวะเศรษฐกิจที่เข้าสู่ภาวะถดถอย แต่ตลาดหุ้นของประเทศไทยกลับร่วงลงอย่างต่อเนื่อง จนผลตอบแทนอยู่ในอันดับบ๊วย

KEY

POINTS

  • ปี 2567 นับเป็นปีทองของ “ตลาดหุ้นโลก” ดัชนีหุ้นหลายประเทศทำออลไทม์ไฮ แต่ไม่ใช่กับหุ้นไทย
  • ดัชนีหุ้นไทยปี 2567 ยังคงร่วงลงต่อเนื่องราว 3.4% เป็นดัชนีที่ให้ผลตอบแทนอันดับบ๊วยของโลก ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิอย่างต่อเนื่อง
  • สาเหตุที่หุ้นไทยร่วงต่อเนื่อง หลายคนมักโยนความผิดไปที่ Program Trading และการทำ Short Selling แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่กลับชี้เป้ามาที่ “พื้นฐานเศรษฐกิจ” ที่ศักยภาพการเติบโตถดถอยลงต่อเนื่อง

ปี 2567 น่าจะเป็นปีทองของ “ตลาดหุ้นโลก” เพราะตั้งแต่ต้นปีมามีดัชนีหุ้นของหลายประเทศพุ่งทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะ “3 ดัชนีหุ้นสหรัฐ” ทั้ง Dow Jones , S&P500 และ Nasdaq โดยดัชนี Dow Jones พุ่งขึ้นไปทำนิวไฮที่ระดับ 39,281 จุด เมื่อปลายเดือนก.พ.ที่ผ่านมา ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ก็แข่งกันทำออลไทม์ไฮเป็นว่าเล่นเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่ง S&P พุ่งแตะระดับ 5,140 จุด ส่วน Nasdaq วิ่งขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 16,302 จุด

นอกจากนี้ยังมีดัชนี MSCI All-Country World Equity Index ซึ่งเป็นดัชนีตลาดหุ้นโลกที่ใช้วัดผลดำเนินงานของหุ้นทั้งในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ ที่ล่าสุดก็พุ่งทุบสถิติออลไทม์ไฮเช่นเดียวกัน โดยมาอยู่ที่ระดับ 767 จุด และยังมีอีกหลายๆ ประเทศที่ดัชนีหุ้นพุ่งทำนิวไฮเป็นว่าเล่น เช่น Nikkei ของ ญี่ปุ่น ที่ล่าสุดทะลุระดับ 40,000 จุด สวนทางกับภาวะเศรษฐกิจที่เข้าสู่ภาวะถดถอย ...แต่แม้จะเป็นปีทองของตลาดหุ้นโลก แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่กับหุ้นไทย เพราะดัชนี SET ยังคงเหยียบย่ำอยู่กับที่!

ปัจจุบันดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวอยู่ที่บริเวณ 1,360 จุด ถ้าดูย้อนหลัง 1 ปีที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยให้ผลตอบแทนติดลบไปราว 14-15% และถ้านับเฉพาะปีนี้ หรือตั้งแต่ต้นปี 2567 จนถึงปัจจุบัน ดัชนีหุ้นไทยให้ผลตอบแทนติดลบประมาณ 3.5% เรียกได้เต็มปากว่า หุ้นไทยให้ผลตอบแทนเป็นอันดับ “บ๊วย” ของโลก แถมยังถูกนักลงทุนต่างชาติถล่มขายหุ้นต่อเนื่องแม้ว่าดัชนีจะลดลงมามากแล้วก็ตาม ซึ่งถ้านับตั้งแต่ต้นปี 2566 ถึงปัจจุบัน นักลงทุนต่างชาติเทขายสุทธิหุ้นไทยไปแล้วกว่า 2.25 แสนล้านบาท

แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ “หุ้นไทย” อยู่บ๊วยของอันดับโลก ...หลายคนบอกว่าเป็นเพราะหุ้นไทยมี Program Trading มาก แถมยังสามารถทำ Short Selling ได้ง่าย เลยมีแรงขายจาก Program เหล่านี้ออกมามากจึงทำให้หุ้นไทยขยับขึ้นไม่ได้ซักที แต่ประเด็นนี้เอาเข้าจริงถ้าถามเหล่านักวิเคราะห์ นักลงทุนที่เข้าใจพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยดี จะบอกตรงกันว่าพวกนี้ไม่ใช่ปัญหาเลย เพราะปัญหาใหญ่ของตลาดหุ้นไทยอยู่ตรงที่ “พื้นฐานเศรษฐกิจ” ซึ่งเวลานี้เรากำลังเผชิญปัญหาหนักในเชิงโครงสร้าง ทั้งเรื่องประชากรสูงวัยขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ภาคการผลิตยังไม่สามารถสร้างบุญใหม่ที่จะผลักดันให้ไทยกลับมาเติบโตได้ระยะยาวเหมือนในอดีต สะท้อนได้จาก “ศักยภาพทางเศรษฐกิจ” ที่นับวันจะถดถอยลงมาเรื่อยๆ

อดีตเศรษฐกิจไทยเคยมีศักยภาพการเติบโตได้เกือบๆ ตัวเลข 2 หลัก ก่อนจะถดถอยลงมาเหลือราวๆ 4-5% ล่าสุดนักเศรษฐศาสตร์หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า ศักยภาพเศรษฐกิจไทยอาจร่วงลงมาต่ำกว่า 3% แล้ว เพราะเราขาดการลงทุนใหม่ ที่ไปต่อยอดการเติบโต ขณะที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนก็ยังมองไม่ค่อยเห็นการขยายตัวอย่างโดดเด่น ...เมื่อเป็นแบบนี้ ทำไมนักลงทุนต่างชาติต้องลงทุนในตลาดหุ้นไทย เขาก็หนีไปประเทศอื่นที่น่าจะให้ผลตอบแทนได้ดีกว่า ในทางกลับกันหากไทยสามารถเปลี่ยนตัวเองใหม่ มีกิจกรรมการลงทุนที่จุดประกายความหวังแห่การเติบโต หลุดพ้นจากภาวะต้มกบได้ ถึงตอนนั้นหุ้นไทยคงวิ่งแบบม้าทะยาน แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้นเราคงต้องปลุกนักลงทุนให้ตื่นจากภวังค์ก่อน!