CPALL กำไร Q1/67 พุ่ง 53% แตะ 6.3 พันล้าน รายได้ 2.4 แสนล้าน โตทุกกลุ่มธุรกิจ

CPALL กำไร Q1/67 พุ่ง 53% แตะ 6.3 พันล้าน รายได้ 2.4 แสนล้าน โตทุกกลุ่มธุรกิจ

ซีพี ออลล์ (CPALL) เผย Q1/67 รายได้ 241,307 ล้านบาท เพิ่ม 8% โตทุกกลุ่มธุรกิจ ยอดขายต่อสาขาเพิ่ม มีร้าน 7-Eleven เปิดใหม่ 185 สาขา รวมเป็น 14,730 ทั่วประเทศ ตั้งในปั๊ม ปตท. 14% งบลงทุนรวมปีนี้ 13,000 ล้านบาท แผนปี 67 เปิดร้านสาขาใหม่ในไทยอีก 700 สาขา และมีสาขาเพิ่มที่ลาว, กัมพูชา

นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ หุ้น CPALL แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ผลการดำเนินงาน ไตรมาส 1/2567 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค. 2567 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 6,319 ล้านบาท โดยสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้

ในไตรมาส 1 ปี 2567 บริษัทฯมีรายได้รวม 241,307 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 8.5 โดยมีสาเหตุมาจากการปรับเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายสินค้าของทุกกลุ่มธุรกิจ ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจร้านสะดวกซื้อธุรกิจค้าส่งค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ ตามการบริโภคภายในประเทศที่ยังมีการขยายตัว 

ซึ่งขับเคลื่อนโดยกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ และการท่องเที่ยว รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงต้นปีที่สร้างบรรยากาศที่ดีในการจับจ่ายใช้สอย นอกจากนี้กลยุทธ์ O2O ของแต่ละหน่วยธุรกิจยังคงเป็นปัจจัยเสริมในการเติบโตของรายได้อีกทางหนึ่งด้วย

ในไตรมาส 1 ปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจากการขายและบริการเท่ากับ 52,223 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.3 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากรายได้จากการขายสินค้าของทุกกลุ่มธุรกิจเพิ่มขึ้น รวมถึงความสำเร็จในกลยุทธ์ด้านสินค้า ซึ่งไม่เพียงส่งมอบสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแล้ว ยังนำเสนอสินค้าที่แตกต่าง 

เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไรอีกด้วย ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นในงบการเงินรวมของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 22.3 จากร้อยละ 21.7 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

บริษัทฯ มีต้นทุนในการจัดจำหน่ายและค่าใช้จ่ายในการบริหารเท่ากับ 46,541 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ค่าใช้จ่ายกลุ่มต้นทุนในการจัดจำหน่ายมีจำนวน 38,548 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 ในขณะที่กลุ่มค่าใช้จ่ายในการบริหารมีจำนวน 7,993 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 

โดยประเภทค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นหลักๆประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายผลประโยชน์ตอบแทนพนักงาน ค่าบริหารร้านสาขา ในขณะที่ค่าไฟเริ่มปรับตัวลดลงจากค่าไฟต่อหน่วยที่ปรับลดลง ทั้งนี้แต่ละกลุ่มธุรกิจยังคงมีการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง และมีประสิทธิภาพ

ในไตรมาส 1 ปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้จำนวน 12,846 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.5 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการดำเนินงานที่ดีขึ้นของทุกกลุ่มธุรกิจ และการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ 

นอกจากนี้บริษัทฯ มีต้นทุนทางการเงินลดลงจากการออกหุ้นกู้เพื่อชำระคืนเงินกู้ยืมก่อนกำหนดเมื่อปีก่อนของ บมจ. ซีพี แอ็กซ์ตร้า เพื่อลดต้นทุนและความเสี่ยงในการบริหารค่าใช้จ่ายทางการเงิน ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 6,319 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 53.3 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สำหรับกำไรต่อหุ้นตามงบการเงินรวมในไตรมาส 1 ปี 2567 มีจำนวนเท่ากับ 0.69 บาท

ผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจร้านสะดวกซื้อในช่วงไตรมาส 1 ปี 2567 ธุรกิจร้านสะดวกซื้อเปิดร้านสาขาใหม่รวมทั้งสิ้น 185 สาขา ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2567 บริษัทฯ มีจำนวนร้านสาขาทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 14,730 สาขาแบ่งเป็น

(1)  ร้านสาขาบริษัท 7,485 สาขา (ประมาณ ร้อยละ 51) ร้านเปิดใหม่สุทธิ 149 สาขา ในไตรมาสนี้
(2) ร้าน SBP และร้านค้าที่ได้รับสิทธิช่วง อาณาเขต 7,245 สาขา (ประมาณ ร้อยละ 49) ร้านเปิดใหม่สุทธิ 36 สาขา 

ในไตรมาสนี้ร้านสาขาส่วนใหญ่ยังเป็นร้านที่ตั้งเป็นเอกเทศ ซึ่งประมาณร้อยละ 86 ของสาขาทั้งหมด และส่วนที่เหลือเป็นร้านในสถานีบริการน้ำมัน ปตท.
 
ในไตรมาส 1 ปี 2567 ธุรกิจร้านสะดวกซื้อมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการรวม 105,861 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.9 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ในไตรมาสนี้มียอดขายเฉลี่ยต่อร้านต่อวัน เท่ากับ 82,619 บาท และยอดขายเฉลี่ยของร้านสาขาเดิมเพิ่มขึ้นเท่ากับร้อยละ 4.9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมียอดซื้อต่อบิลโดยประมาณ 85 บาท

ในขณะที่จำนวนลูกค้าต่อสาขาต่อวันเฉลี่ย 972 คน ทั้งนี้ลูกค้ามีจำนวนเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อนอย่างต่อเนื่อง 

นอกจากนี้มาตรการของรัฐ ก็มีส่วนช่วยสนับสนุนเช่นกัน ซึ่งธุรกิจร้านสะดวกซื้อได้ใช้แผนกลยุทธ์ที่สอดรับกับสถานการณ์ตลอดเวลา โดยคำนึงถึงการรักษาฐานลูกค้าเดิม และขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่ๆ โดยนำเสนอสินค้าใหม่ๆ พร้อมกับโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดลูกค้าในแต่ละช่วงเวลา 

ประกอบกับรายได้จากการขายสินค้าส่วนเพิ่มผ่านกลยุทธ์ O2O อาทิ 7-Delivery และ All Online ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในภาวะปัจจุบันได้เป็นอย่างดี โดยมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 11 ของรายได้จากการขายสินค้ารวม

ในไตรมาส 1 ปี 2567 สัดส่วนของรายได้จากการขาย ร้อยละ 75.2 มาจากสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และร้อยละ 29.8 มาจากสินค้าอุปโภค ซึ่งสัดส่วนรายได้ในกลุ่มสินค้า อาหารและเครื่องดื่ม และกลุ่ม สินค้าอุปโภคนั้นอยู่ในระดับเดียวกันกับปี 2566 

โดยบริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นที่จะเป็นจุดหมายปลายทางที่ 1 ในใจลูกค้าเมื่อนึกถึงอาหารและเครื่องดื่ม ตามสโลแกน 'หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา' และ 'หิวเมื่อไหร่ก็สั่งเลย' สำหรับลูกค้าทุกกลุ่ม ทุกที่และทุกเวลา

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯยังคงพยายามควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุม และให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ถึงแม้ว่าจะมีการปรับขึ้นของค่าใช้จ่ายบางประเภท บริษัทฯยังคงขยายสาขาร้าน 7-Eleven ตามแผน และมีการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงสินค้าและบริการสำหรับลูกค้า 

ทั้งนี้กลุ่มธุรกิจร้านสะดวกซื้อยังคงรายงานกำไรจากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 9,314 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 70.7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิเท่ากับ 6,181 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 124.1 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สำหรับกำไรต่อหุ้นตามงบการเงินเฉพาะกิจการในไตรมาส 1 ปี 2567 มีจำนวนเท่ากับ 0.68 บาท

คาดการณ์และแนวโน้มธุรกิจร้านสะดวกซื้อในปี 2567

บริษัทฯวางแผนที่จะพัฒนาช่องทางการจำหน่ายสินค้าและบริการ ทั้งแพลตฟอร์มออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งรวมถึงการขยายเครือข่ายร้านสาขาต่อเนื่องไปตามการขยายตัวของชุมชน โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ แหล่งท่องเที่ยวและทำเลที่มีศักยภาพอื่นๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและเข้าถึงความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด 

โดยบริษัทวางแผนที่จะลงทุนเปิดร้านสาขาใหม่ในประเทศไทยอีกประมาณ 700 สาขาในปี 2567 และมีเป้าหมายที่จะเปิดร้านใหม่เพิ่มในประเทศกัมพูชา และใน สปป.ลาว ในปี 2567 อีกด้วย

คาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 12,000 - 13,000 ล้านบาท มีรายละเอียดดังนี้ 


ㆍ การเปิดร้านสาขาใหม่ 3,800-4,000 ล้านบาท
ㆍ การปรับปรุงร้านเดิม 2,900-3,500 ล้านบาท
ㆍ โครงการใหม่, บริษัทย่อยและศูนย์กระจายสินค้า 4,000-4,100 ล้านบาท
ㆍ สินทรัพย์ถาวร และระบบสารสนเทศ 1,300-1,400 ล้านบาท