CRC กำไร Q1/67 ทรงตัว 2.17 พันล้านบาท รายได้รวม 6.72 หมื่นล้านบาท เพิ่ม 6.4%
บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) เปิดงบ Q1/67 กำไร 2.17 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเทียบ Q1/66 และมีรายได้รวม 67,255 ล้านบาท บวก 6.4% ระบุรับผลดีโครงการ Easy E-Receipt ขณะที่ยอดขายขยายตัวตามจำนวนสาขา และมีค่าเช่าเพิ่ม ชี้ยังเดินหน้าสร้างการเติบโตของธุรกิจทั้งระบบ
บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC เปิดเผยผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า งบการเงินรวมไตรมาสที่ 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.67 กำไรส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่เท่ากับ 2,170.70 ล้านบาท (กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.36 บาท) เพิ่มเล็กน้อยจากไตรมาสที่ 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.66 ที่ทำได้ 2,168.28 ล้านบาท (กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.36 บาท)
นายปเนต มหรรฆานุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน CRC ระบุว่า ผลการประกอบการไตรมาส 1 ประจำปี 2567 มีรายได้รวม 67,255 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 จากปีก่อน กำไรสุทธิ 2,318 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 จากปีก่อน และกำไรสุทธิหลังรายการปรับปรุงส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 2,524 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.7 จากปีก่อน
บริษัท มีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นเนื่องมาจากการเพิ่มแบรนด์สินค้าให้ตอบสนองความต้องการ ผลจากการขยายสาขา และปรับปรุงสาขา ผลตอบรับที่ดีของธุรกิจใหม่รวมถึงโครงการ Easy E -Receipt ของรัฐบาล อีกทั้งบริษัท ยังมีรายได้จากการให้บริการเช่า และการให้บริการที่เพิ่มขึ้นจากการขยายพื้นที่ให้เช่า และจำนวนผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการขาย และบริหารได้เพิ่มขึ้น อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น การขยายสาขา รวมทั้งต้นทุนทางการเงิน และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ที่เพิ่มขึ้นด้วย
พร้อมกันนี้ระบุถึงภาพรวมว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2567 ขยายตัวตามการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวจากแรงส่งของมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อจากภาครัฐ ประกอบกับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวชาวจีนอันเป็นผลมาจากนโยบายการยกเลิกวีซ่า ส่งผลให้ธุรกิจภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับภาคท่องเที่ยวฟื้นตัวดีขึ้น ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น
ทั้งนี้สถานการณ์ธุรกิจในประเทศไทยเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนและปีก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยอดขายในกลุ่มจังหวัดท่องเที่ยว และสาขาของห้างสรรพสินค้าที่ปรับปรุงแล้วปรับตัวดีขึ้นเทียบกับปีก่อน
ขณะที่เศรษฐกิจเวียดนามฟื้นตัวดี โดยรัฐบาลเวียดนามได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการบริโภคภายในประเทศ อาทิ การขจัดความล่าช้าที่เกิดจากระเบียบขั้นตอนในการดำเนินงาน การพิจารณายกเว้นวีซ่าเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ โดยจะมีเริ่มผลตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปี 2567 เป็นต้นไป และการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
ทั้งนี้สถานการณ์ธุรกิจยอดขายของประเทศเวียดนามในไตรมาส 1 ปี 2567 ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าและปีก่อนหน้า เฉกเช่นเดียวกับสถานการณ์ธุรกิจในอิตาลีฟื้นตัวอย่างดีต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 1 ยอดขายในประเทศอิตาลีปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้าจากการปรับปรุงสาขา Flagship และเพิ่มแบรนด์สินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า
ในไตรมาส 1 ปี 2567 บริษัท ได้มีการขยายสาขา และปรับปรุงพื้นที่อย่างต่อเนื่องในทั้ง 3 ประเทศที่บริษัท ดำเนินธุรกิจ ณ 31มีนาคม 2567 บริษัท มีเครือข่ายร้านค้าภายใต้แบรนด์ค้าปลีก และค้าส่งทั้งหมด 3,762 ร้านค้ารวมเป็นพื้นที่ขาย 3,565,909 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีศูนย์การค้าทั้งหมด 72 สาขา รวมเป็นพื้นที่เช่า 743,962 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
อีกทั้งบริษัท ได้พัฒนา Next-Gen Omnichannel Platform ครอบคลุมทั้งเครือข่ายเซ็นทรัล รีเทล ในไทย เวียดนาม และอิตาลี สำหรับรอบ 3 เดือน ยอดขายผ่านช่องทาง Omnichannel มีการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็นร้อยละ 19 ต่อยอดขายรวมของบริษัท
นอกจากนี้ได้ดำเนินแผนงานด้าน Synergy เพื่อสร้างผลประโยชน์ทั้งในด้านรายได้ และการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ
บริษัท ขยายร้านค้ารูปแบบใหม่ และการสร้างธุรกิจใหม่เพื่อการเติบโต ในไตรมาส 1 บริษัท ได้เปิด GO Wholesale จำนวน 1 สาขา คือ สาขาพระราม 2 กรุงเทพฯ โดย ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2567 บริษัท มีสาขา GO Wholesale 5 สาขา Tops Vita 94 สาขา Tops Care 28 สาขา และ Pet 'N Me 8 สาขา
และบริษัท ยังเดินหน้าสร้างการเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ร่วมกันกับพาร์ตเนอร์เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับ Ecosystem ของบริษัท และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกไลฟ์สไตล์
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์