MINT พลิกมีกำไร 1.14 พันล้านบาท Q1/67 ทุกธุรกิจโต อัตราแลกเปลี่ยนหนุน
"ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล" งบ Q1/67 พลิกมีกำไร 1.14 พันล้านบาท จาก Q1/66 ขาดทุน ส่วนรายได้เท่ากับ 3.8 หมื่นล้านบาท โต 15% ระบุทั้งโรงแรม ร้านอาหาร รวมทั้งธุรกิจอื่นๆ โตทุกสาย ทว่ายอมรับงบไม่รวมรายการพิเศษทำได้แค่ขาดทุนน้อยลงตามฤดูกาล แต่ได้อัตราแลกเปลี่ยน-อนุพันธ์พยุง
นายชัยพัฒน์ ไพฑรูย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ในไตรมาส 1 ปี 2567 ทั้งธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร รายงานผลประกอบการทางการเงินที่ดีขึ้น จากความต้องการการเดินทางที่เพิ่มขึ้น ปริมาณการรับประทานอาหารภายในร้านที่มากขึ้นความสามารถในการเพิ่มราคาห้องพักและการใช้จ่ายเฉลี่ย รวมถึงการขยายพอร์ตฟอลิโอผ่านการเปิดโรงแรมและร้านอาหารใหม่
ส่งผลให้รายได้ตามงบการเงินเติบโตร้อยละ 15 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยตามรายงาน Q1/2567 มีรายได้รวมเท่ากับ 38,050 ล้านบาท
ในไตรมาส 1 ปี 2567 บริษัทกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี และค่าเสื่อม (EBITDA) ตามงบการเงินเติบโตในอัตราที่เร็วกว่าการเติบโตของรายได้โดยเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 53 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย Q1/2567 มี EBITDA เป็นจำนวน 9,923 ล้านบาท เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ พร้อมกับการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพและกลยุทธ์การบริหารค่าใช้จ่าย
บริษัทสามารถสร้างผลกำไรสุทธิตามงบการเงินในไตรมาส 1 ปี 2567 จำนวน 1,146 ล้านบาท แม้จะอยู่ในช่วงนอกฤดูกาลเดินทางในทวีปยุโรป แสดงให้เห็นถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญจากผลขาดทุนตามงบการเงินจำนวน 976 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2566
โดยการเติบโตดังกล่าวเป็นผลมาจากการดำเนินงานพื้นฐานที่แข็งแกร่งขึ้นในทุกหน่วยธุรกิจประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนที่เอื้ออำนวยส่งผลให้ผลกำไรของบริษัทฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง
หากไม่นับรวมรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในไตรมาส 1 ปี 2567 บริษัทมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานจำนวน 352 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากการอยู่ในช่วงนอกฤดูกาลเดินทางในทวีปยุโรป อย่างไรก็ดีผลขาดทุนนี้ยังลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 46 แม้เผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจมหาภาคและภูมิรัฐศาสตร์ก็ตาม
สำหรับรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวที่สำคัญในงบ ไตรมาส 1 ปี 2567 ได้แก่ กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากสัญญาแลกเปลี่ยนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 919 ล้านบาท และกำไรสุทธิที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงจากสัญญาอนุพันธ์ คิดเป็น 628 ล้านบาท เป็นต้น