เปิดอินไซด์ ‘ตลาดหุ้นอินเดีย’ ทำอย่างไรจึงขึ้นเป็นตลาดใหญ่อันดับ 4 ของโลก

เปิดอินไซด์ ‘ตลาดหุ้นอินเดีย’ ทำอย่างไรจึงขึ้นเป็นตลาดใหญ่อันดับ 4 ของโลก

เปิดอินไซด์ ‘อินเดีย’ โตไวจนขึ้นเป็นตลาดหุ้นใหญ่อันดับ 4 ของโลก เผย ‘ลงทุนในประเทศ’ คือหัวใจสำคัญ หลังรัฐบาลกระตุ้นประชาชนลงทุนผ่านเงินออมในกองทุน‘SIPs’ ดันราคาหุ้นพุ่ง นักลงทุนในประเทศเข็นตลาดหุ้นโตแกร่ง

สำนักข่าวซีเอ็นบีซี รายงานเจาะลึกข้อมูล “อินเดีย” ในฐานะตลาดหุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนจนกลายเป็นดาวรุ่ง หนึ่งในตลาดหุ้นที่เติบโตเร็วที่สุดจนขึ้นเป็นอันดับ 4 ของโลก โดยการเติบโตอย่างแข็งแกร่งตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มาจาก “การลงทุนในประเทศ” เป็นหลัก หลังรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนให้ภาคครัวเรือนเก็บออมเพื่อการเกษียณผ่านกองทุน Systematic Investment Plans หรือ (SIPs) ซึ่งเป็นการลงทุนที่ลดหย่อนภาษีได้ และมีระบบช่วยในการลงทุนเป็นประจำรายเดือน

ขณะนี้ตลาดหุ้นอินเดียปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนี Nifty 50 เพิ่มขึ้นกว่า 5.7% ในปีนี้ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอินเดียอายุ 10 ปีลดลงต่ำกว่า 7% เป็นครั้งแรกในปีนี้

สมาคมกองทุนรวมอินเดียเปิดเผยข้อมูลว่า เงินลงทุนผ่าน SIPs แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2 แสนล้านรูปี หรือราว 91 ล้านบาทในเดือนเมษายน ซึ่งกว่า 90% ของเงินทั้งหมดที่เข้าสู่กองทุนรวม และหุ้นภายในประเทศในปีที่แล้ว มาจาก SIPs

อย่างไรก็ตาม กองทุน SIPs ไม่ได้มีดีแค่เป็นโปรแกรมการลงทุนที่สะดวก ที่นักลงทุนไม่ต้องคาดการณ์ความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ ตลาดหุ้นอินเดีย “มีมูลค่าสูงเกินจริง” เนื่องจากโปรแกรมนี้บังคับให้ผู้จัดการกองทุนซื้อหุ้นเป็นประจำทุกเดือนแม้ว่ามูลค่าหุ้นเหล่านั้นอาจจะไม่น่าดึงดูดก็ตาม

กล่าวคือ ผู้จัดการกองทุนรวมหุ้นขนาดใหญ่หลายพันล้านดอลลาร์ของอินเดีย 3 กองทุน ได้แก่ SBI Equity Hybrid Fund Regular Growth, HDFC Mid-Cap Opportunities Fund-Growth และ ICICI Prudential Balanced Advantage Fund แม้ว่าจะสามารถรองรับเงินสดที่ไหลเข้ามาเพิ่มเป็นการชั่วคราวได้ แต่เงื่อนไขของกองทุนมักจะบังคับให้พวกเขาต้องนำเงินไปลงทุนทั้งหมดอยู่เสมอ

มาเฮช นันดูการ์ หัวหน้าฝ่ายวิจัยอินเดียของธนาคารเพื่อการลงทุน Jefferies กล่าวว่า “นักลงทุนภายในประเทศ เป็นแรงขับเคลื่อนการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นอินเดีย และมูลค่าหุ้นผ่านผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ ทำให้ผู้จัดการกองทุนก็ต้องนำเงินไปลงทุนเมื่อมีเงินไหลเข้ากองทุน”

SIPs เสี่ยงทำหุ้นอินเดียเกิดฟองสบู่

แม้ว่ามูลค่าหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่กองทุนเน้นมูลค่า (Value Funds) ต่างพากันถอนตัวออกจากตลาดหุ้นอินเดีย โดย โจนาธาน ไพน์ส ผู้บริหารกองทุน Federated Hermes เคยกล่าวว่า หุ้นขนาดกลางของอินเดียอยู่ในภาวะ "ฟองสบู่" แม้ว่าจะมีแนวโน้มทางเศรษฐกิจที่สดใสของประเทศก็ตาม

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หุ้นอินเดียราว 300 ตัว จากทั้งหมด 4,900 ตัว มีรายได้ลดลง แต่ข้อมูลจาก FactSet ที่ CNBC นำมาวิเคราะห์ ชี้ว่า ถึงแม้จะมีรายได้ลดลง แต่หุ้นเหล่านี้กลับปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 216 ตัวในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม แม้ SIPs อาจส่งผลให้มูลค่าหุ้นบางตัวสูงเกินจริง แต่ในตอนนี้ผลกระทบในแง่ดีของ SIPs ยังดูเหมือนจะมีน้ำหนักมากกว่าผลกระทบในแง่ลบอยู่

นักลงทุนในประเทศเข็นตลาดหุ้นโต

นักลงทุนต่างชาติเคยมีอิทธิพลอย่างมากต่อตลาดหุ้นภายในประเทศ ดัชนีหุ้นหลักอย่าง Nifty 50 และ Sensex เคยประสบกับภาวะราคาหุ้นลดลง และเงินทุนไหลออกจากตลาดเมื่อสภาวะทางการเงินทั่วโลกตึงตัว แม้ว่าบริษัทที่อยู่ในดัชนีเหล่านั้น และเศรษฐกิจของอินเดียจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก

แต่ฐานนักลงทุนภายในประเทศที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในอนาคตผลกระทบจากความผันผวนในตลาดต่างประเทศน่าจะมีน้อยลง

ดีพัค จาซานี หัวหน้าฝ่ายวิจัยค้าปลีกของ HDFC Securities กล่าวว่า เงินทุนที่ไหลเข้ามาจากนักลงทุนในประเทศ 87 ล้านคน ซึ่งลงทุนประมาณ 32 ดอลลาร์ทุกเดือน (เกือบ 1,200 บาท) “ช่วยลดความผันผวนที่เกิดจากเงินทุนไหลออกของนักลงทุนสถาบันต่างชาติ (FPI) และช่วยกระตุ้นมูลค่าหุ้นเมื่อเงินทุนไหลเข้าจาก FPI เป็นไปในทางที่ดีหรือทรงตัว”

ในปัจจุบัน เงินออมที่ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นยังเป็นเพียงสัดส่วนเล็กน้อยของเงินออมทั้งหมดที่ชาวอินเดียเก็บไว้เป็นประจำทุกปี ตามข้อมูลของ Jefferies ชาวอินเดียมีอัตราการออมอยู่ที่ประมาณ 18% ของ GDP หรือประมาณ 8 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งในตอนนี้มีเงินออมเพียงประมาณ 4 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 5% เท่านั้นที่คาดว่าจะไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นผ่านกองทุน SIPs แต่คาดว่าจะมีเงินออมไหลเข้าสู่สินทรัพย์ประเภทนี้มากขึ้น

“แม้ว่าอินเดียจะเป็นประเทศที่มีรายได้ต่ำ แต่ก็ยังมีเศรษฐกิจการออมที่สูงมาก” นันดูร์การ์ กล่าวเสริม

ธนาคารกลางอินเดียปันผลรัฐบาลทุบสถิติ

ธนาคารกลางของอินเดียอนุมัติเงินปันผลสำหรับปีงบประมาณ 2567 ให้กับรัฐบาลสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ เงินสดจำนวน 2.11 ล้านล้านรูปี ที่ประกาศไปเมื่อวันที่  22 พ.ค.ที่ผ่านมานั้น สูงกว่าประมาณการของนักวิเคราะห์ และรัฐบาลอย่างมาก เงินทุนนี้จะช่วยลดความจำเป็นที่รัฐบาลนิวเดลีจะต้องกู้เงินในตลาด และช่วยในการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการ และงบประมาณรายจ่ายประจำปี

ตลาดพันธบัตรคาดการณ์ว่าการขาดดุลงบประมาณของอินเดียจะต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากเงินปันผลของธนาคารกลางที่เป็นสถิติสูงตามที่กล่าวไปข้างต้น

ผลเลือกตั้ง 4 มิ.ย. ชี้ชะตาตลาดทุนอินเดีย

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นอินเดียอาจจะเผชิญกับการปรับฐานอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หากผลการเลือกตั้งในวันที่ 4 มิถุนายน มีผลลัพธ์ออกมาน่าผิดหวัง หาก พรรคภารตียชนตา (BJP) ของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ไม่สามารถครองเสียงในสภาได้มากกว่า 400 ที่นั่ง หรือมากกว่า 2 ใน 3 อาจทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นและพันธบัตรในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นกว่า 6.3 พันล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นร่วง และค่าเงินรูปีอ่อนค่า

รวมทั้งอีกปัจจัยหนึ่งที่การเลือกตั้งครั้งนี้มีผลต่อตลาดหุ้นอย่างมาก เพราะความทะเยอทะยานของโมดีที่ต้องการทำให้อินเดียกลายเป็น “ประเทศพัฒนาแล้ว” ภายในกลางศตวรรษนี้อาจเป็นไปได้ยากมากขึ้น ถ้าหาก  BJP ไม่สามารถคว้าชัยชนะตามที่ต้องการนั้น จะต้องเผชิญแรงกดดันจากพันธมิตรในการเพิ่มค่าใช้จ่ายสวัสดิการ  และทำให้แผนการปฏิรูปประเทศของ BJP เช่น นโยบายการปฏิรูปกฎหมายที่ดิน และแรงงาน ซึ่งต้องอาศัยอำนาจทางการเมืองอย่างมากจะซับซ้อน และล่าช้ายิ่งขึ้นไปอีก

อ้างอิง cnbc 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์