4 กูรูมองโอกาส - กลยุทธ์สร้างผลตอบแทนจากหุ้นไทย - หุ้นนอก - สินทรัพย์ทางเลือก

4 กูรูมองโอกาส - กลยุทธ์สร้างผลตอบแทนจากหุ้นไทย - หุ้นนอก - สินทรัพย์ทางเลือก

สัมมนา บล.ลิเบอเรเตอร์ จัด 4 กูรูเปิดโลกลงทุน "จรูญพันธ์ วัฒนวงศ์" วิเคราะห์หุ้นไทยบางตัวชนะตลาดได้ ย้ำหาจุดเผ่นก่อนลุย, "ธนัชชา เชษฐโชติศักดิ์" ชี้หุ้นสหรัฐสวย เน้นรวยระยะยาว, "นพดล ดวงทิพย์เนตร" ชวนใช้ DW เพิ่มโอกาส และ "ภาวลิน ลิมธงชัย" แนะวิธีเอาตัวรอดบนกระดานดิจิทัล

นายจรูญพันธ์ วัฒนวงศ์ Head of Research และนักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ลิเบอเรเตอร์ เปิดเผยในงานสัมมนาจัดโดย บล.ลิเบอเรเตอร์ หัวข้อ ลงทุนให้ทันเทรนด์ในหุ้นไทย หุ้นนอก และสินทรัพย์ ระบุว่า ผลตอบแทนเฉลี่ยการลงทุนตลาดหุ้นไทยเกือบ 50 ปี นับตั้งแต่ปีเริ่มก่อตั้งเมื่อ เม.ย.2518 เท่ากับ 8% ต่อปี โดยรวมผลตอบแทนที่ได้จากปันผลแล้ว

อย่างไรก็ดีดัชนีตลาดหุ้นไทยระยะ 10 ปีหลังสุดที่ผ่านมา SET Index ไม่สามารถขยับสูงอย่างต่อเนื่องได้ ปัจจุบันยังอยู่ระดับใกล้เคียง 1,400 จุดเท่านั้น

ในขณะที่หากพิจารณาแบบเฉพาะเจาะจงพบหลักทรัพย์จำนวนหนึ่งที่สร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาดหุ้นไทยมาก

ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี มีหุ้นไทย 100 ตัวที่ราคาปรับขึ้นได้อัตรากว่า 30% และจาก 50 ใน 100 ตัวนี้ปรับขึ้นถึงกว่า 50% ดังนั้นจึงเท่ากับว่าถ้านักลงทุนศึกษาข้อมูลดีมากพอ ย่อมจะมีโอกาสชนะความผันผวนของตลาดหุ้นไทยได้

โดยข้อได้เปรียบของการลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่เหนือกว่าตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ คือ การเข้าถึงข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนได้สะดวก และจำนวนข้อมูลมีมาก

และปัจจัยที่อาจสนับสนุนให้ประเทศไทยมีความน่าสนใจเป็นเรื่องการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ถ้ามากพอสะท้อนมายังตัวเลขจีดีพีให้เติบโตสูง กระแสเงินทุนจะกลับไหลเข้ามาได้อย่างชัดเจน

อีกประการคือ แง่ของมูลค่าหุ้นจากการประเมิน หรือ Valuation ใกล้เข้าถึงจุดน่าสนใจ จากโอกาสของหุ้นฝั่งเอเชียที่ถูกกว่าหุ้นฝั่งอเมริกาในเชิงเปรียบเทียบ                                                                                                                                                                             

พร้อมกันนี้แนะนำกลยุทธ์การลงทุน จำเป็นต้องกำหนดเงื่อนไขการขายตัดขาดทุนก่อนเสมอ และต้องมีวินัยตัดใจเด็ดขาดขายทิ้งให้เป็นเมื่อหุ้นที่ถือครองไม่เป็นไปตามที่หวัง อาจจะเป็นในแง่ราคา หรือตัดใจขายทันทีเมื่อตัวเลขผลการดำเนินงานบางอย่างในธุรกิจต่ำกว่าที่คาดการณ์ก็ได้

"แม้ตลาดหุ้นไทยไม่แพงแล้วเมื่อเทียบกับ 10 ปีย้อนหลังทว่าหลายประเทศในเอเชียก็ยังถูกกว่า ตลาดหุ้นไทยภาพใหญ่ดูไม่ดีนัก แต่ในภาพย่อยลงมาเป็นรายตัวยังมีโอกาสอยู่"

นางสาวธนัชชา เชษฐโชติศักดิ์ นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานหุ้นต่างประเทศ บล. ลิเบอเรเตอร์ ระบุว่า ตลาดหุ้นต่างประเทศที่โดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา เป็นกลุ่มของตลาดหุ้นประเทศสหรัฐอเมริกา เช่น ดัชนีหุ้น Dow Jones ซึ่งถ่วงน้ำหนักด้วยราคา บริษัทขนาดใหญ่ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา 30 แห่งซึ่งได้รับการคัดเลือก ที่เรียกว่าหุ้น Blue Chip นับแต่ต้นปีนี้บวกไป 3.59%

ส่วนดัชนี Standard & Poor's 500 หรือ S&P 500 ซึ่งแสดงถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่ใหญ่ที่สุด 500 แห่งในสหรัฐอเมริกา ก็บวกไปแล้ว 11.85% และ ดัชนีหุ้น Nasdaq Composite ที่รวมบริษัทจากหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งอุตสาหกรรมเทคโนโลยี การดูแลสุขภาพ สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าฟุ่มเฟือย และบริการทางการเงินก็บวก 14.50% นับแต่ต้นปีเช่นกัน

อีกทั้งหุ้นกิจการระดับโลกด้านเทคโนโลยีที่มีฉายาว่า 7 นางฟ้า หรือ Magnificent 7 ก็ยังอยู่ในตลาดหุ้นประเทศสหรัฐอเมริกา ได้แก่ Apple, Amazon, Alphabet, Meta, Microsoft, Nvidia และ Tesla นอกจากนี้ยังมีหุ้นกิจการขนาดเล็กกว่าที่เป็นกระแสความสนใจได้แก่ธุรกิจ Streaming, ยานยนต์ไร้คนขับ, ยานพาหนะที่พาคนไปสู่นอกโลก, ฮาร์ดแวร์-ซอฟต์แวร์ต่างๆ รวมไปถึงธุรกิจรูปแบบใหม่ในยุคนี้ที่มีจังหวะผลการดำเนินการเข้าสู่ช่วงที่ดีเช่น Airbnb และ Uber เป็นต้น

การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐนักลงทุนจะมีรายได้ 2 ช่องทางก็คือ 1. ส่วนต่างราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น และ 2.ปันผล โดยกำไรส่วนต่างราคาหุ้นไม่จำเป็นต้องเสียภาษีตราบเท่าที่ยังไม่ได้แปลงกลับมาแล้วนำเงินกลับมาในรูปแบบไทยเพื่อคำนวณรวมเป็นฐานภาษี แต่ปันผลต้องชำระภาษีอัตรา 30% ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เว้นมีการยื่นส่งรายงานแบบฟอร์ม W-8BEN

W-8BEN คือ แบบภาษีที่กรมสรรพากรสหรัฐอเมริกา (IRS) กำหนดให้บุคคลต่างชาติทุกคนที่มีรายได้ในสหรัฐอเมริกา ยื่นเพื่อรับรองว่าไม่ได้เป็นบุคคลสัญชาติอเมริกัน ไม่ได้ทำงานหรือไม่ได้ประกอบธุรกิจในสหรัฐอเมริกา โดยได้รับสิทธิพิจารณาลดภาษีเงินปันผลจาก 30% เหลือเพียง 15%

คำแนะนำสำหรับผู้สนใจเริ่มลงทุนในหุ้นอเมริกา ต้องกำหนดเป้าหมายและความเสี่ยงที่รับไหวก่อนลงทุน ควรมองภาพแนวโน้มระยะยาวว่าธุรกิจไหนกำลังมา และเข้าใจในตัวบริษัทนั้นๆ ที่ลงทุนโดยแท้จริง และไม่ตระหนกกับประเด็นข่าวระยะสั้นรายวันมากจนเกินไป

"ธุรกิจขนาดใหญ่สูงสุดของโลกก็อยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐ บางคนยังกังวลเรื่องภาษี แต่จะบอกว่าโอกาสที่เม็ดเงินลงทุนจะเติบโตในระยะยาวมากกว่าอัตราภาษีที่ต้องเสียมันมีอยู่แล้ว"

นายนพดล ดวงทิพย์เนตร กรรมการบริษัทและผู้จัดการอาวุโส แผนกธุรกิจตราสารอนุพันธ์ บล. แมคควอรี (ประเทศไทย) ระบุว่า ลงทุนผ่าน Derivative Warrant หรือชื่อย่อว่า DW สามารถทำให้นักลงทุนสามารถเพิ่มโอกาสในการเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ที่อ้างอิงดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศ เช่น Nasdaq Composite, S&P 500 หรือ ตลาดหุ้น Hang Seng (HSI) ฮ่องกงได้

และเพิ่มโอกาสเลือกลงทุนหลักทรัพย์ที่อ้างอิงหุ้นต่างประเทศซึ่งเป็นที่รู้จักได้ด้วย โดยสามารถทั้งลงทุน และเก็งกำไรทั้งในขาขึ้นหรือขาลง 

DW มีทั้งประเภท Call Option และ Put Option ซึ่งตอบรับความต้องการได้ทั้งในจังหวะเวลาขาขึ้นหรือเป็นขาลง ทั้งนี้ Call DW เป็นสิทธิในการซื้อหุ้นอ้างอิง และ Put DW เป็นสิทธิในการขายหุ้นอ้างอิง

ข้อควรระวังคือ Leverage หรือตัวทวีคูณ ซึ่งแม้จะใช้เงินน้อยแล้วได้กำไรมาก แต่ในทางกลับกันหากเลือกลงทุนผิดทางก็จะเสียเงินลงทุนระดับที่ได้รับผลกระทบทวีคูณเช่นกัน นักลงทุนจำเป็นต้องเข้าใจระดับความเสี่ยง และเข้าใจสินค้าถ่องแท้

ก่อนเข้าลงทุน DW ไม่จำเป็นต้องรีบ แม้ว่าสินค้าที่สนใจจะดูเหมือนกำลังคึกคักหรือปรับตัวแรงในทิศทางหนึ่ง เพราะอาจเป็นได้ว่าแรงซื้อ และขายที่กำลังปรากฏอาจเกิดจากผู้ดูแลสภาพคล่อง หรือ Market Maker

แนะนำว่า ควรเว้นจังหวะให้แน่ใจว่า สภาพคล่องรักษาระดับสูงได้ต่อเนื่องโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยแรงกระตุ้นจาก Market Maker อีกประการคือ ควรเลือก DW ที่ผู้ออกมีความน่าเชื่อถือสูง ประวัติดี ชื่อเสียงดี

"DW เป็นโอกาสให้นักลงทุนไทยสร้างกำไรได้ทั้งในขาขึ้น และขาลง อีกทั้ง DW ที่เป็นดัชนีหรือหุ้นต่างประเทศถือเป็นความสะดวกในแง่ของไม่ต้องไปเปิดบัญชีโดยตรงที่ต่างประเทศ  การซื้อขายกับผู้ให้บริการในประเทศไทยก็ให้บริการซื้อขายเป็นรูปสกุลเงินบาทจึงง่ายสำหรับประเมินผลตอบแทนจริงที่ได้รับ"

และ นางสาวภาวลิน ลิมธงชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการ บล. ลิเบอเรเตอร์ ระบุว่า สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นทางเลือกที่มีความเสี่ยงไม่ต่างจากสินทรัพย์เสี่ยงอื่น

นักลงทุนมิควรปิดโอกาสตนเอง แต่หากควรเริ่มต้นลงทุนแต่จำนวนน้อยก่อน และสิ่งสำคัญคือ การจัดสรรเงินลงทุนให้พอเหมาะ มิควรทุ่มเงินลงทุนทั้งหมดไปในสินทรัพย์ตัวเดียว

ควรลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลด้วยความเข้าใจว่า Blockchain และ Wallet คืออะไร กระบวนการโอนเหรียญดิจิทัลต้องทำอย่างไร และมีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง

และแพลตฟอร์มที่นักลงทุนเข้าไปเลือกลงทุนก็ต้องน่าเชื่อถือด้วย ควรเลือกระดับแพลตฟอร์ม Top 5 เป็นหรือเป็นแพลตฟอร์มที่มูลค่าการซื้อขายสูงภายใต้การแนะนำโดยหน่วยงานกำกับดูแล หรือ ก.ล.ต.

เช่นเดียวกับหุ้นการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลทุกตัว นักลงทุนจำเป็นต้องตามแนวโน้มกราฟ จำเป็นต้องติดตาม วิเคราะห์ข้อมูล มีสติพิจารณาความน่าเชื่อถือของผู้ก่อตั้งเหรียญนั้นๆ ตามสถานการณ์จริง

สถานการณ์ปัจจุบันของสินทรัพย์ดิจิทัลมีสกุลเงินดิจิทัลหลักๆ ที่นักลงทุนรู้จักดีได้แก่ Bitcoin และ Ethereum เป็นต้น

ช่วงไม่นานมานี้ Bitcoin เพิ่งสร้างราคาสูงสุดตลอดกาลครั้งใหม่ ส่วน Ethereum ก็มีทิศทางราคาขยับขึ้นมาชัดเจนเช่นกัน ทว่าจุดแตกต่างของรอบการขึ้นใหญ่ครั้งนี้แปลกจากรอบก่อนคือ Alternative Coin หรือเหรียญทางเลือก ไม่ได้ปรับตัวตามหลังมาด้วยอย่างที่ควรจะเป็น

กลับมีแต่ประเภท Meme Coin ซึ่งเป็นสินทรัพย์เชิงล้อเลียนโดยไม่เน้นพื้นฐาน มีบางตัวราคาโดดเด่นขึ้นมาจนมีทั้งมูลค่า และปริมาณการซื้อขายสูง นับเป็นสัญญาณที่ไม่น่าไว้วางใจ เป็นความเสี่ยงระดับเฉพาะสินทรัพย์อันไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีความเข้าใจเป็นอย่างยิ่ง

โดยแนะนำว่า การลงทุนทุกครั้งทุกสินทรัพย์ต้องมีความเข้าใจความเสี่ยง และต้องรู้จักกล้าตัดใจขายให้ได้เมื่อการลงทุนเกิดข้อผิดพลาด

"ทุกสินทรัพย์ล้วนมีความเสี่ยง ทั้งในแง่ของบริษัทผู้ให้บริการตัวกลางซื้อขายรับฝาก หรือในแง่ตัวพื้นฐานเหรียญนั้นๆ เอง ยิ่งเป็นพวก Meme Coin ยิ่งต้องระวัง พวกนี้เปรียบไปก็เหมือนหุ้นปั่น ไม่มีพื้นฐานอะไรให้จับต้องเลย ฉะนั้นอย่าไปตามคนอื่นเพราะกลัวตกขบวนรถไฟ อย่าหวั่นไหวถ้ามีใครมาอวดผลตอบแทนสูงๆ เราควรลงทุนด้วยความเข้าใจจริงๆ ด้วยตนเอง"

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์