เอฟเฟกต์ ‘มาร์จิน’ บล.แซดคอม นับถอยหลังเคลียร์หนี้ “หมื่นล้าน”

เอฟเฟกต์ ‘มาร์จิน’ บล.แซดคอม  นับถอยหลังเคลียร์หนี้ “หมื่นล้าน”

นอกจากปัจจัยทางการเมืองที่มีผลต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ ยังมีประเด็นเสมือนคลื่นใต้น้ำที่มีผลต่อธุรกิจโบรกเกอร์ นักลงทุน และตลาดหุ้นไทย คือ ความเสี่ยงจากบัญชีมาร์จิน

    ที่กำลังส่งผลกระทบหนักต่อ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) จากมูลค่าปล่อยมาร์จินสูงถึงระดับหมื่นล้านบาท จะจัดการ “เคลียร์เม็ดเงินสูงขนาดนี้อย่างไร “

    หลังผลกระทบดังกล่าวลุกลามจากที่บริษัททุ่มเงินเพื่อดันมูลค่าการซื้อขายล่ามาร์เก็ตแชร์ จนเจอเคส “หุ้นเปลี่ยนชีวิตโบรกเกอร์” หลายรายอย่าง  MORE เกิดความเสียหายขาดทุนอย่างหนักและ บล . แซดคอม ต้องกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 จำนวน 838 ล้านหุ้น จากการปล่อยมาร์จินให้ลูกค้าและรับหุ้น MORE เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน

     

     ก่อนหน้านี้ บัญชีมาร์จินได้รับความนิยมและพุ่งสูงช่วงปี 2563 -2565 จากมูลค่าการซื้อขายพุ่งสูงแตะระดับ 3 แสนล้านบาท 2563 และยังอยู่ในระดับแสนล้านบาท ปี 2564 -2565   แต่หลังจากเกิดปัญหาหุ้น MORE ช่วงปลายปี 2565  จนต่อเนื่อง 2566 และ 5 เดือนแรกปี 2567  ตลาดหุ้นไทยเจอเคส หุ้นรายตัวเผชิญแรงขายจนดิ่งฟลอร์จนถูกบังคับขาย (Force Sell ) ทั้งที่จงใจ “เจ้าของนำมาเปิดบัญชีมาร์จินซะเอง” และเกิดตามภาวะตลาดแต่ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นหุ้นที่ถูกนำมาวางเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันจำนวนมาก

     อาการซวนเซของ บล. แซด คอม เผชิญปี 2565 ขาดทุน 519 ล้านบาท และปี 2566 ขาดทุนอีก 517 ล้านบาท ซึ่งสถานการณ์ไม่ได้ดีขึ้นและเอากำไรคืนได้ยาก ปรากฎเดือนพ.ค. ต้องประกาศพิจารณาให้บริการมาร์จิน แม้จะยังไม่ปิดกิจการแต่อาการดังกล่าวเป็นที่ทราบกันดีในอุตสาหกรรมว่า “ไม่รอด” และเตรียมถอนทุนออกจากตลาดหุ้นไทยสิ้นปีนี้ เมื่อทุนใหญ่ญี่ปุ่น “จีเอ็มโอ ไฟแนนซ์เชียล โฮลดิ้งส์ อิ้งค์” ไม่ใส่เงินเพิ่มทุนเข้ามาอีก

       เอฟเฟกต์ ‘มาร์จิน’ บล.แซดคอม  นับถอยหลังเคลียร์หนี้ “หมื่นล้าน”

      ต้นเดือนมิ.ย. เป็นการคอนเฟิร์มจากการแจ้งอย่างเป็นทางการ  บล. แซด คอมยุติการให้บริการบัญชีมาร์จิน 20 ธ.ค. 2567 เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบเพิ่มมากขึ้น   แต่บรรดา หุ้นที่เคยปล่อยมาร์จิ้น จำนวน 926 หลักทรัพย์ (13 พ.ค. 67) ถูกปรับเกรดลงมาเป็น F จากเดิมต้นเดือนพ.ค. ยังปล่อยมาร์จินหุ้นเกรด A มากถึง 237 หลักทรัพย์ เกรด B ที่ 115 หลักทรัพย์ หุ้นเกรด C จำนาน 61 หลักทรัพย์ หุ้นเกรด D จำนวน 65 หลักทรัพย์ หุ้นเกรด E จำนวน 355 หลักทรัพย์ และหุ้นเกรด F  จำนวน 113 หลักทรัพย์ 

     ทำให้เกิดความเสี่ยงหากลูกค้าไม่มีการนำเงินมาปิดบัญชีมาร์จินและปล่อยให้ บล. แซด คอม ดำเนินการเอง ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่พ้น “เทขายในตลาดหุ้น” ใน “ทุกราคา” เพื่อนำเงินมา “ปิดตัวเลขขาดทุนจำนวนมาก” 

     ระยะเวลากำหนดมิ.ย. – ธ.ค. 2567 กับการแก้ไขปัญหาบัญชีมารจินจึงมีผลต่อหุ้นรายตัว  โดยจะมีทั้งการฟ้องร้องทั้งจาก “นักลงทุนที่ได้รับความเสียหาย ” บล.แซดคอม เพราะทำตามเกณฑ์ถูกต้อง และ บล.แซดคอม  “ฟ้องร้องลูกค้าที่เล่นตุกติก” ให้บริษัทรับขาดทุนไม่มาชำระเงิน ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้ว  ปี 2566 มีการดำเนินคดีลูกค้าและต้องปรับโครงสร้างลูกค้ากลายเป็นลูกหนี้ 893 ล้านบาท และลูกค้าที่ถูกดำเนินการตามกฎหมายผิดนัดชำระหนี้ 402 ล้านบาท ทำให้ต้องรับรู้ผลขาดทุนทางเครดิต 331 ล้านบาท

     ทั้งหมดเหล่านี้ต้องเกิดขึ้นแน่นอนแต่ความเสียหายจะใหญ่จนกระทบภาพรวมตลาดหุ้น จากนี้ไปยังตีมูลค่าได้ยาก...