แกะรอย ผลกระทบต่อ 'ดัชนีหุ้นไทย' จากการเปลี่ยนตัวนายกฯ ในอดีต

แกะรอย ผลกระทบต่อ 'ดัชนีหุ้นไทย' จากการเปลี่ยนตัวนายกฯ ในอดีต

บล.ทิสโก้ มองความวุ่นวายการเมืองปัจจุบันคล้ายปี 2008 การเดินทางกลับไทยของอดีตนายกฯ ทักษิณ การเลือกตั้ง สว. และการที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยนายกฯ สมัครในช่วงเวลานั้นขาดคุณสมบัติพ้นออกตำแหน่ง และสั่งยุบ 3 พรรคการเมือง ประเมินดัชนีหุ้นไทย Downside ไม่หนีจากระดับ 1,300

บล.ทิสโก้ ระบุเผยบทวิเคราะห์ว่า ปัจจัยการเมืองในประเทศไม่นิ่งจาก 4 คดีใหญ่เข้ามาขมวดปมพร้อมกันในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ 1.คดียุบพรรคก้าวไกลเข้าข่ายล้มล้างการปกครองหรือไม่ 2.คดีนายกฯ เศรษฐาขาดคุณสมบัติหรือไม่ 3.คดีอดีตนายกฯ ทักษิณ ม.112 และ 4.คดีการเลือกตั้ง สว.ครั้งนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่

โดยในมุมมองไม่คาดว่าคดีที่ 1, 3 และ 4 จะมีน้ำหนักกดดันตลาดมากนัก เนื่องจากคดีที่ 1 แม้มีโทษยุบพรรคและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค แต่ สส. สามารถย้ายสังกัดไปอยู่พรรคใหม่ ซึ่งเราเชื่อว่าพรรคก้าวไกลเตรียมรับมือไว้อยู่แล้ว และตอนยุบพรรคอนาคตใหม่ก็ไม่ได้เกิดความวุ่นวาย ขณะที่คดีที่ 2 ยังต้องใช้เวลาพิสูจน์ข้อเท็จจริงอีกนานตามกระบวนการยุติธรรมถึง 3 ศาล และคดีที่ 4 จะขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ สว.ปัจจุบันก็ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมี สว.ชุดใหม่

เพราะฉะนั้นมองคดีที่ 2 เป็นคดีที่มีน้ำหนักกดดันตลาดมากที่สุด เพราะในกรณีแย่ที่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้นายกฯ เศรษฐาขาดคุณสมบัติ คาดจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตัวนายกฯ และคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ ต้องเสียเวลาไม่น้อยกว่า 2 เดือนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ นอกจากจะทำให้การเบิกจ่ายงบฯ ปี 2567 และการจัดทำงบฯ ปี 2568 อาจมีความล่าช้าแล้ว ยังมีความไม่แน่นอนของนโยบายของรัฐบาลใหม่อีกด้วย จะกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโดยตรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

ด้วยความไม่แน่นอนว่าคำวินิจฉัยจะออกมาเมื่อใด และจะมีคำวินิจฉัยอย่างไร คาดจะกดดันตลาดต่อไป กระทบความเชื่อมั่นนักลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ดี หากคำวินิจฉัยออกมาเป็นบวกต่อนายกฯ จะช่วยปลดล็อกความกังวลปัจจัยทางการเมืองที่เคยกดดันภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นช่วงก่อนหน้านี้ ทำให้การทำงานของรัฐบาลกลับมาเดินหน้าได้เต็มที่อีกครั้ง เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยโดยรวม

แกะรอย ผลกระทบต่อ \'ดัชนีหุ้นไทย\' จากการเปลี่ยนตัวนายกฯ ในอดีต

ทั้งนี้ มองความวุ่นวายทางการเมืองในปัจจุบันมีลักษณะคล้ายคลึงกับปี 2008 ซึ่งมีทั้งการเดินทางกลับไทยของอดีตนายกฯ ทักษิณ, การเลือกตั้ง สว. และการที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยนายกฯ สมัครในช่วงเวลานั้นขาดคุณสมบัติพ้นออกตำแหน่ง และการสั่งยุบ 3 พรรคการเมือง แต่อย่างไรก็ดีช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐ เผชิญวิกฤติซับไพรม์ ทำให้ส่วนหนึ่งตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแรงตามทิศทางของตลาดหุ้นโลก 

ดังนั้นหากมองในเชิงเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นโลก โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังที่มีปัญหาการเมืองเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ SET Index ในช่วงเวลานั้นเคลื่อนไหวในทิศทางแย่กว่าหุ้นโลกราว 5% ดังนั้นเมื่ออิงกับเหตุการณ์ในปัจจุบันนับตั้งแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง 40 สว. วินิจฉัยคุณสมบัตินายกฯ เศรษฐา เมื่อวันที่ 23 พ.ค. ที่ผ่านมา เราประเมินระดับ SET Index ที่ระดับ 1300 หรือต่ำกว่าเล็กน้อย น่าจะซึมซับความไม่แน่นอนทางการเมืองไปมากแล้ว

ทั้งนี้ ตั้งแต่ปลายไตรมาส 4 ปีที่แล้ว SET Index พยายามแกว่งตัวไซด์เวย์ออกด้านข้างในกรอบหลัก 1,350-1,400 แต่อย่างไรก็ดี ในช่วง 1-2 เดือนล่าสุดภาพทางเทคนิคบ่งชี้การแกว่งซิกแซกในกรอบขาลงที่ชัดเจนขึ้น โดย SET Index ปรับตัวลงหลุดโลว์เดิมที่ 1,350 และ 1,330 ตามลำดับ  หาก SET Index ไม่รีบดีดกลับมายืนเหนือบริเวณ 1,320 ซึ่งเป็นกรอบแกว่งด้านล่างในช่วงที่ผ่านมา อาจสะท้อนความเสี่ยงที่ SET Index จะมีแนวโน้มปรับตัวลงต่อ มีเป้าหมายจิตวิทยาระยะสั้นที่ระดับ 1,300 

แกะรอย ผลกระทบต่อ \'ดัชนีหุ้นไทย\' จากการเปลี่ยนตัวนายกฯ ในอดีต

โดยจากการศึกษาความเคลื่อนไหวของ SET Index ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของแต่ละไตรมาสย้อนหลังนับตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมาบ่งชี้โอกาสเกิด Window Dressing สำหรับไตรมาส 2 อยู่ที่ 60% อยู่ระดับพอประมาณเมื่อเทียบกับไตรมาส 1, ไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ที่มีโอกาสเกิด Window Dressing อยู่ที่ 69%, 33% และ 67% ตามลำดับ ขณะที่ผลตอบแทนของ SET Index เฉลี่ยในไตรมาส 1 ถึงไตรมาส 4 อยู่ที่ +1.1%, +1.1%, -0.9% และ +0.3% ตามลำดับ

ทั้งนี้ บล.ทิสโก้ ได้คัดเลือกหุ้นที่มีโอกาสถูกทำ Window Dressing ในรอบนี้ โดยอิงจาก 

1.เป็นหุ้นขนาดกลาง-ใหญ่ที่อยู่ใน SET100 Index เป็นหลัก 

2.ราคาหุ้นปรับตัวลงลึกในไตรมาสนี้ (SET Index -4.4% QTD) และ 

3.ราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน หรือมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว 

หุ้นเข้าข่ายตามเกณฑ์ข้างต้น AP, AWC, BTS, HANA, JMT, LH, PTTEP และ TCAP

แกะรอย ผลกระทบต่อ \'ดัชนีหุ้นไทย\' จากการเปลี่ยนตัวนายกฯ ในอดีต

หลังจากที่ SET Index ปรับตัวลงหลุดโลว์เดิมที่ 1,330 ในช่วงต้นเดือนมิ.ย. สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้น้อย แนะนำ Wait & See เป็นกลยุทธ์หลักในระยะสั้น รอประเมินสถานการณ์การเมืองในประเทศให้มีความชัดเจนเกิดขึ้นก่อน 

อย่างไรก็ดี สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง อยากเทรดดิ้งระยะสั้นในช่วงตลาดมีความไม่แน่นอนทางการเมืองสูง ควรเน้นการตั้งรับ-เด้งขึ้นขายล็อกกำไร หากอิงความเสี่ยงการเมืองในอดีต เราประเมิน Downside ของ SET Index ไม่น่าหนีจากระดับ 1,300 มากนัก

โดยมองหุ้นที่มีโอกาสแข็งแกร่งกว่าตลาด คือ 

1.หุ้นที่มีดีมานด์จากต่างประเทศช่วยหนุนกำไรในช่วงที่เหลือของปีนี้ CPALL, CPAXT, AWC, ERW, AMATA, HANA, SVI, SISB 

2.หุ้นเชิงรับในกลุ่ม FOOD, PERSON, ICT และ HELTH ที่พิสูจน์ผลงานมาแล้วในช่วงครึ่งปีแรก และแนวโน้มกำไรปีนี้ยังสดใส แนะนำ AAI, SAPPE, NEO, ADVANC, BDMS, BH 

3.หุ้นปันผลดีที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมาตามภาวะตลาด ทำให้ Div. Yield สูงกว่าระดับ 6% (เรียงมูลค่าตลาดจากมากไปหาน้อย และทุกตัวมีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล) ชอบ PTT, SCB, TTB, LH, EGCO, KKP, SIRI, MC, SABINA 

สำหรับนักลงทุนระยะกลางที่คาดหวังการฟื้นตัวขึ้นของ SET Index ในช่วงครึ่งปีหลัง ประเมิน Downside ของ SET Index ไม่น่าหนีจากระดับ 1,300 มากนัก ดังนั้นเราแนะนำหาจังหวะสะสมที่เข้าใกล้บริเวณดังกล่าว หุ้นเด่น (Top Picks) แนะนำ TTB, KKP, CPALL, BJC, BDMS, GPSC, ERW, AAV, SISB และ MC

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์