4 หุ้นโรงไฟฟ้า บวกต่อ 2 วันติด EA-ROJNA พุ่งนำ 4% เก็งค่าไฟจ่ายแพงขึ้น 20 - 40 สตางค์

4 หุ้นโรงไฟฟ้า บวกต่อ 2 วันติด EA-ROJNA พุ่งนำ 4% เก็งค่าไฟจ่ายแพงขึ้น 20 - 40 สตางค์

4 หุ้นโรงไฟฟ้า บวกต่อ 2 วันติด EA-ROJNA พุ่งนำ 4% เก็งค่าไฟจ่ายแพงขึ้น 20 - 40 สตางค์ "นักวิเคราะห์" เผย หุ้น ROJNA มีโอกาสฟื้นตัว หลังปรับฐานลงมาลึกแนวต้าน 6.25 - 6.35 บาท

ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยภาคเช้า ณ วันที่ 11 กรกฎาคม 2567 เวลา 10.05 น. หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าปรับตัวเพิ่มขึ้นยกแผง คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เตรียมพิจารณาปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ หรือ ค่าเอฟที งวดใหม่รอบเดือนกันยายน-ธันวาคม ปีนี้ คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นประมาณหน่วยละ 20-40 สตางค์

  • หุ้น EA ปรับเพิ่มขึ้น 4.03% หรืออยู่ที่ 0.50 บาท  หรือระดับราคาอยู่ที่ 12.90 บาท
  • หุ้น ROJNA ปรับเพิ่มขึ้น 3.39% หรืออยู่ที่ 0.20 บาท หรือระดับราคาอยู่ที่ 6.10 บาท
  • หุ้น BGRIM ปรับเพิ่มขึ้น 2.31% หรืออยู่ที่ 0.50 บาท หรือระดับราคาอยู่ที่ 22.10 บาท
  • หุ้น EGCO ปรับเพิ่มขึ้น 1.44%  หรืออยู่ที่ 1.50 บาท หรือระดับราคาอยู่ที่ 105.50 บาท
     

4 หุ้นโรงไฟฟ้า บวกต่อ 2 วันติด EA-ROJNA พุ่งนำ 4% เก็งค่าไฟจ่ายแพงขึ้น 20 - 40 สตางค์

ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า มีการเก็งกำไรค่าเอฟทีใหม่ที่จะมีการขยับขึ้น ส่งผลให้โรงไฟฟ้าได้ประโยชน์ ทั้งนี้ในทางเทคนิคหุ้น ROJNA มีโอกาสฟื้นตัว เนื่องจากมีการปรับฐานลงมาลึกแนวต้าน 6.25 - 6.35 บาท 
 

โดย แหล่งข่าวจาก กระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ประชุมบอร์ดหนึ่งในวาระสำคัญ จะมีการพิจารณาอัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดใหม่รอบเดือนก.ย. – ธ.ค.2567 เบื้องต้นคาดว่า จะต้องปรับเพิ่มขึ้นอีกประมาณหน่วยละ 20 - 40 สตางค์ จากค่าไฟงวดปัจจุบันอยู่ที่หน่วยละ 4.18 บาท

ทั้งนี้ เนื่องจากปัจจัยหลัก โดยเฉพาะการทยอยคืนชำระหนี้ให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ตัวเลขล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 98,000 ล้านบาท ซึ่งกฟผ.มีภาระต้องจ่ายค่าดอกเบี้ย และยังมีหนี้ค่าเชื้อเพลิงที่ต้องทยอยคืนให้กับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่ได้รับภาระไปงวดก่อนหน้านี้ด้วย

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยจากค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์อ่อนตัวลงต่อเนื่อง กระทบกับราคาซื้อก๊าซธรรมชาติ รวมทั้งแนวโน้มความต้องการก๊าซฯ ที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาวส่งผลให้ราคาในตลาดเพิ่มขึ้น จากหลายปัจจัยจึงทำให้ค่าเอฟทีงวดนี้ มีแนวโน้มปรับสูงขึ้น

ซึ่งหลังจาก บอร์ด กกพ. มีมติรับทราบภาระต้นทุนการผลิตไฟฟ้า และเห็นชอบการคำนวณประมาณการค่าเอฟทีงวดสุดท้ายของปีแล้ว ขั้นตอนต่อไปทาง กกพ. จะเปิดรับฟังความคิดเห็นประชาชน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง 3 ทางเลือกต่อไป โดยกระบวนการทั้งหมดจะประกาศผลการพิจารณาก่อนสิ้นเดือนก.ค.นี้ เพื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ต้องประกาศค่าไฟใหม่ล่วงหน้า 1 เดือน  

อย่างไรก็ตาม ถ้าดูจากปัจจัยหลายๆ แล้วต้องยอมรับว่า ค่าไฟงวดสุดท้ายของปี 2567 มีแนวโน้มปรับขึ้น โดยเฉพาะประเด็นที่ กฟผ.ไปกู้เงินมาช่วยประชาชนไปก่อน มีภาระต้องจ่ายค่าดอกเบี้ยงวดละหลายร้อยล้านบาทแล้ว หากยิ่งชำระคืนหนี้ให้ กฟผ.ช้า จะยิ่งทำให้ต้อง กฟผ.ต้องแบกรับภาระจ่ายดอกเบี้ยเพิ่ม ถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ จะยิ่งกระทบกับเรตติ้งของ กฟผ.ได้

"ที่ผ่านมาหลังจากรัฐบาลได้ช่วยเหลือค่าไฟกลุ่มเปราะบาง ลดค่าไฟเหลือหน่วยละ 3.99 บาท ส่งผลให้การใช้ไฟเดือนเม.ย.67 พุ่งขึ้นถึง 20% เทียบกับเม.ย.ของปี 66 ส่วนหนึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า การที่ทำให้ค่าไฟถูกเกินต้นทุนจริง ทำให้ประชาชนไม่ประหยัดการใช้ไฟมากนัก ยิ่งทำให้ส่งผลไม่ดีในระยะยาว” แหล่งข่าว กล่าว

ส่วนกรณีถ้าสุดท้ายแล้ว กกพ.มีมติเห็นชอบให้ปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปร (เอฟที) เพื่อสะท้อนต้นทุน และลดภาระ กฟผ. แต่หากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รัฐบาลยังต้องการตรึงราคาค่าไฟงวดสุดท้ายให้อยู่ที่หน่วยละ 4.18 บาทตามเดิม เพื่อไม่ให้กระทบกับค่าครองชีพประชาชน ก็ต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาลในการหางบประมาณ หรือหาแนวทางมาช่วยเหลือเช่นเดียวกับงวดปัจจุบัน  

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์