ภาวะตลาดและมุมมองครึ่งปีหลัง ท่ามกลางความเชื่อมั่นที่หดหาย

ภาวะตลาดและมุมมองครึ่งปีหลัง ท่ามกลางความเชื่อมั่นที่หดหาย

ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงไปแตะจุดต่ำสุดที่ประมาณ 1,280 จุด เป็นจุดต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปีนับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเหตุผลหลัก ๆ ส่วนหนึ่งมาจากความไม่เชื่อมั่นของการเติบโตของประเทศ จากการถูกกดดันจากงบประมาณที่มีความล่าช้า กระทบต่อเนื่องไปยังการเติบโตของเศรษฐกิจไทย การคาดการณ์การเติบโตของ GDP ไทยถูกหั่นลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้หุ้นไทยสวนทางกับประเทศอื่น ๆ

ตลาดหุ้นไทยที่ผ่านมาดูเหมือนว่าจะเผชิญความยากลำบากมาอย่างไม่หยุดหย่อน ความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นที่กำลังจะฟื้นตัวได้ดีกลับถูกทำลายลงอีกครั้งจากประเด็นเรื่องการกล่าวโทษโดย ก.ล.ต. ต่อผู้บริหารของบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA แม้ก่อนหน้านี้เพียงไม่นาน สถานการณ์ตลาดหุ้นเหมือนจะเริ่มดูดีขึ้น ทั้งมีปัจจัยส่งเสริมจากภาครัฐเอง และมาตรการควบคุมการทำ Short Sell และ High Frequency Trade ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในขณะที่ปัจจัยกดดันอื่น ๆ อย่างปัจจัยทางการเมือง ก็ได้คลี่คลายไปมากแล้ว แต่ทำไมเหมือนตลาดจะยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นได้ เราควรต้องทำอย่างไรในการลงทุนในสภาวะอันน่าอึดอัดนี้

ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงไปแตะจุดต่ำสุดที่ประมาณ 1,280 จุด ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปีนับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเหตุผลหลัก ๆ ส่วนหนึ่งมาจากความไม่เชื่อมั่นของการเติบโตของประเทศ จากการถูกกดดันจากงบประมาณที่มีความล่าช้า กระทบต่อเนื่องไปยังการเติบโตของเศรษฐกิจไทย การคาดการณ์การเติบโตของ GDP ไทยถูกหั่นลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความน่าสนใจของหุ้นไทยสวนทางกับประเทศอื่น ๆ

นอกจากนี้ ประเด็นทางการเมืองก็ยังคงเป็นปัจจัยกดดันต่อตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเดือนที่ผ่านมา มีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องพร้อม ๆ กัน ทั้งการตัดสินคุณสมบัติความเป็นนายกฯของคุณเศรษฐา และการยุบพรรคก้าวไกล ทำให้บรรยากาศทางการเมืองกลับมามีความระส่ำอีกครั้ง ต่างชาติขายหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม หลังจากประเด็นทางการเมืองมีแนวโน้มคลี่คลาย และถูกยืดเวลาออกไป ทางด้านตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็มีการออกมาตรการเพื่อช่วยลดธุรกรรม Short Sell และ High Frequency Trade ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และจากการบังคับใช้มาตรการดังกล่าว ดูเหมือนว่าตลาดหุ้นยังจะพอปรับตัวขึ้นได้บ้าง พอจะให้นักลงทุนเริ่มมีความหวังเนื่องจากหลาย ๆ ปัจจัยถูกคลายกังวล และเริ่มมีปัจจัยบวกเข้ามาอย่างเห็นได้ชัดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตที่จะเริ่มสามารถใช้ได้ในปลายปีนี้ มาตรการพยุงตลาดหุ้นที่กล่าวไปข้างต้น และการฟื้นฟูกองทุนวายุภักษ์ ที่น่าจะระดมเงินทุนเข้าตลาดหุ้นได้ประมาณ 1-1.5 แสนล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าความกังวลที่คลี่คลายลงไปนั้น สามารถเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้เพียงแค่ไม่นาน ก็มาเจอกับประเด็นการทุจริตของผู้บริหาร EA ที่ยิ่งกดดันทำให้บรรยากาศหุ้นไทยแย่ลงอีกครั้ง แม้ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นหลาย ๆ ตัวยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ความเชื่อมั่นที่ถูกทำลายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ยากที่จะทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นและกลับเข้ามาในตลาดหุ้นได้เหมือนเก่า ส่วนหนึ่งเพราะหุ้น EA เองก็เป็นหนึ่งในหุ้นที่ได้รับคัดเลือกเข้ามาคำนวณในดัชนี SETESG ซึ่งหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ EA ได้ถูกถอดออกจากดัชนีทันที ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือ และเกิดคำถามว่าการประเมิน Rating มีประสิทธิภาพมากแค่ไหน

สุดท้ายแล้วความน่าสนใจของตลาดหุ้นอยู่ที่ตรงไหน จากที่กล่าวมาข้างต้นดูเหมือนปัจจัยบวกที่กำลังจะเข้ามายังไม่สามารถชดเชยความเชื่อมั่นที่หายไปได้ แม้มูลค่าของตลาดหุ้นไทย ณ ตอนนี้นับว่าถูกมากเมื่อเทียบกับในอดีต แต่หากนักลงทุนเห็นโอกาสในการลงทุนในต่างประเทศ ที่แม้มูลค่าจะแพงกว่า แต่มีความเชื่อมั่นและการเติบโตที่ดี ทำให้มองเห็นโอกาสในการทำกำไรมากกว่า ก็อาจทำให้นักลงทุนหมดหวังกับตลาดหุ้นไทย และหันไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ เห็นได้ชัดจากในช่วงนี้ ที่แม้ว่าเราจะเห็นประเด็นกดดันตลาดต่าง ๆ เริ่มคลี่คลาย แต่ดัชนีก็ยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นมาได้มากนัก มุมมองต่อตลาดหุ้นไทยต่อไปก็คงต้องยอมรับว่ายังค่อนข้างยากลำบากสำหรับนักลงทุน 

แต่ส่วนหนึ่งที่ทำให้เรายังคงมีหวังได้คือ ณ ระดับราคาปัจจุบันที่หุ้นไทยค่อนข้างถูก โดยเฉพาะหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี แต่ราคาถูกขายออกมาเพราะแรงกดดันต่าง ๆ จนมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง นั่นอาจเป็นสิ่งที่ทำให้เรามองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าไปลงทุนอีกครั้ง เพราะเราเชื่อว่า สุดท้ายแล้วราคาของตลาดหุ้นย่อมสะท้อนมูลค่าที่แท้จริง สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด ณ ตอนนี้คือต้องมีความพยายามมากขึ้นในการหาหุ้นลงทุน โดยกลับมาเน้นการวิเคราะห์ที่ปัจจัยพื้นฐาน และการประเมินมูลค่าที่เหมาะสม ส่วนตัวเชื่อว่าพื้นฐานของหุ้นไทยหลาย ๆ ตัว เป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดี และยังมีโอกาสในการเติบโต โดยเฉพาะในปีนี้ที่ GDP น่าจะสามารถเติบโตได้มากกว่าปีที่แล้ว และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนก็เติบโตสอดคล้องไปกับการเติบโตของเศรษฐกิจ นอกจากนี้มาตรการที่ออกมากำกับการซื้อขาย คงสามารถช่วยพยุงตลาดหุ้นไทยได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งนักลงทุนก็อาจจะต้องใช้ความอดทน และความพยายามเลือกหุ้นให้ดีให้สามารถอยู่รอดในภาวะเช่นนี้ต่อไป