‘FETCO’ เผยความเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนหน้า ร่วงสู่ระดับ ‘ซบเซา’

‘FETCO’ เผยความเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนหน้า ร่วงสู่ระดับ ‘ซบเซา’

FETCO เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนหน้า (ส.ค.- ต.ค.67 ) ปรับลงสู่ระดับ "ซบเซา" กลุ่มนักลงทุนต่างชาติ ซบเซาหนัก เหตุกังวลความขัดแย้งระหว่างประเทศ - นโยบายเฟด - การถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ ยังหวังปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย หรือ FETCO  เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือนสิงหาคม 2567 (สำรวจระหว่างวันที่ 20-31 สิงหาคม 2567)  พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index: ICI) ในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 60.40 ปรับลงมาอยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา”

นักลงทุนมองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว

ปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ รองลงมาคือ นโยบายการเงินของ FED และการถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ

‘FETCO’ เผยความเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนหน้า ร่วงสู่ระดับ ‘ซบเซา’

 

ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) สำรวจในเดือนกรกฎาคม 2567 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้ 

  • ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ตุลาคม 2567) อยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา” (ช่วงค่าดัชนี 40-79) ที่ระดับ 60.40
  • ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคล กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ และกลุ่มนักลงทุนสถาบัน อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” ในขณะที่ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ “ซบเซาอย่างมาก”
  • หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุดคือ หมวดท่องเที่ยวและสันทนาการ (TOURISM)  
  • หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุดคือ หมวดยานยนต์ (AUTO)
  • ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุดคือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
  •  ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุดคือ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ

“ผลสำรวจ ณ เดือนกรกฎาคม 2567 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่า ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคลปรับลด 11.3% มาอยู่ที่ระดับ 83.10 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับเพิ่ม 96.9% มาอยู่ที่ระดับ 112.50 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับลด 17.4% มาอยู่ที่ระดับ 90.91 และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศปรับลด 55.6% อยู่ที่ระดับ 33.33 

ในช่วงกรกฎาคม 2567 ตลาดทุนได้รับข่าวดีจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยได้อานิสงส์จากเงินเฟ้อสหรัฐที่ปรับตัวลดลงส่งผลต่อความคาดหวังที่ FED จะลดดอกเบี้ยนโยบาย

รวมถึงการเริ่มใช้มาตรการของตลาดหลักทรัพย์ในการใช้ Uptick rules สำหรับการทำ Short sell และความคืบหน้าของโครงการ Digital Wallet ถึงแม้ว่าได้รับผลกระทบจากการที่ World Bank ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2567 เหลือ 2.4% จากที่เคยประมาณการที่ 2.8% เมื่อ เม.ย.2567 และสถานการณ์ด้านธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียน

โดย SET Index ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2567 ปิดที่ 1,320.86 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.5% จากเดือนก่อนหน้า ปริมาณซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนกรกฎาคม 2567 อยู่ที่ 44,162 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,576 ล้านบาท  โดยตั้งแต่ต้นปีนักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิกว่า 117,559 ล้านบาท

ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตามได้แก่ นโยบายการเงินของ FED ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทิศทางการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ถูกลอบยิง และ โจ ไบเดนประกาศถอนตัวจากการเข้าร่วมชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ผลของมาตรการตลาดทุนจีนที่จะกระตุ้นความเชื่อมั่นนักลงทุน อาทิ การควบคุม short sell และสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง

ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน การดำเนินโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท และสถานการณ์ทางการเมืองที่อยู่ระหว่างรอการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ”
 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์