TOP กำไร Q2/67 พุ่ง 396% แตะ 5.5 พันล้าน บันทึกผลบวกสต๊อกน้ำมัน 1.3 พันล้าน
"ไทยออยล์" มีกำไรสุทธิ Q2/67 พุ่ง 396% แตะ 5.5 พันล้าน แม้กลั่นลดลงเล็กน้อย แต่ราคาและปริมาณขายเพิ่ม อีกทั้งมีบันทึกผลบวกสต๊อกนํ้ามัน 1.3 พันล้าน รวม 6 เดือนแรกปี 67 มีกำไรสุทธิ 1.1 หมื่นล้าน โต 101%
นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า งบการเงินไตรมาสที่ 2/2567 กำไรส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทใหญ่เท่ากับ 5,546.78 ล้านบาท จากไตรมาสที่ 2/2566 ที่ทำได้ 1,117.08 ล้านบาท
รวม 6 เดือนแรกปี 2567 เท่ากับ 11,409.73 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ทำได้ 5,671.21 ล้านบาท
คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการระบุว่า ในไตรมาส 2 ปี 2567 บริษัทมีรายได้จากการขาย 119,639 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11,172 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันซึ่งอยู่ที่ 108,467 ล้านบาท โดยเมื่อเทียบกับ Q2/66 กลุ่มไทยออยล์มีปริมาณวัตถุดิบที่ป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตของกลุ่มลดลงเล็กน้อย เนื่องจากการปิดซ่อมบํารุงตามแผนของหน่วยกลั่นนํ้ามันดิบที่ 1 และหน่วยที่เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตามราคาขายและปริมาณการขายผลิตภัณฑ์นํ้ามันสําเร็จรูปที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มไทยออยล์มีกําไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกนํ้ามันลดลง 0.4 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากกําไรขั้นต้นจากการกลั่นที่ปรับตัวลดลงจากส่วนต่างราคานํ้ามันเบนซิน นํ้ามันอากาศยาน/นํ้ามันก๊าด และนํ้ามันดีเซลกับนํ้ามันดิบดูไบที่ปรับตัวลดลงจากอุปทานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากจากการเริ่มดําเนินการของโรงกลั่นในแถบแอฟริกาและจากการส่งออกจากเอเชียไปยุโรปทําได้ยากขึ้น
ขณะที่ส่วนต่างราคานํ้ามันเตากับนํ้ามันดิบดูไบเพิ่มขึ้นจากอุปสงค์การใช้นํ้ามันเตาเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ในส่วนของกําไรขั้นต้นจากธุรกิจอะโรมาติกส์ก็ปรับตัวสูงขึ้น จากส่วนต่างราคาสารเบนซีนกับนํ้ามันเบนซิน 95 ที่ปรับเพิ่มขึ้น จากอุปทานตึงตัวจากการปิดซ่อมบํารุงประจําปีของผู้ผลิต แม้ว่าส่วนต่างราคาของสารพาราไซลีนกับนํ้ามันเบนซิน 95 ปรับลดลงจากอุปสงค์ในภูมิภาคที่ยังคงเติบโตอย่างจํากัดจากธุรกิจปลายนํ้า
ในขณะที่กําไรขั้นต้นจากธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสําหรับผลิตภัณฑ์สารทําความสะอาดปรับตัวลดลงจากอุปสงค์ในประเทศที่ลดลง ในขณะที่อุปทานเพิ่มสูงขึ้น เช่นเดียวกับกําไรขั้นต้นจากธุรกิจนํ้ามันหล่อลื่นพื้นฐานที่ปรับตัวลดลงจากราคานํ้ามันเตาที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นกดดันส่วนต่างราคา ด้านราคานํ้ามันดิบดูไบเฉลี่ยใน Q2/67 ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับ Q2/66 ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์มีกําไรจากสต๊อกนํ้ามัน 1,395 ล้านบาทเทียบกับผลขาดทุนจากสต๊อกนํ้ามัน 1,929 ล้านบาท
ประกอบกับมีรายการกลับรายการมูลค่าสินค้าคงเหลือนํ้ามันดิบและนํ้ามันสําเร็จรูปเพิ่มขึ้น 720 ล้านบาท เมื่อรวมกับกําไรจากเครื่องมือทางการเงินที่เกิดขึ้นจริงสุทธิ (รวมเฉพาะรายการที่เกิดจากการป้องกันความเสี่ยงราคาสินค้าโภคภัณฑ์) ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์มี EBITDA เพิ่มขึ้น 4,255 ล้านบาทจาก Q2/66
โดยใน Q2/67 กลุ่มไทยออยล์มีผลขาดทุนจากการวัดมูลค่ายุติธรรมเครื่องมือทางการเงินลดลง 1 ล้านบาท และมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิลดลง 783 ล้านบาท เมื่อหักค่าเสื่อมราคา ต้นทุนทางการเงิน และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ ส่งผลให้มีกําไรสุทธิเพิ่มขึ้น 4,430 ล้านบาทจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
สำหรับงวด 6 เดือนปี 2567 เทียบกับ 6 เดือนปี 2566 กลุ่มไทยออยล์อัตราการใช้กําลังการกลั่นลดลง เนื่องจากมีการหยุดเดินเครื่องนอกแผนของหน่วยกลั่นนํ้ามันดิบที่ 3 และมีการหยุดซ่อมบํารุงตามแผนของหน่อยกลั่นนํ้ามันดิบที่ 1 และ
อย่างไรก็ตามกลุ่มไทยออยล์มีรายได้จากการขาย 233,877 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9,467 ล้านบาท จากราคาขายผลิตภัณฑ์นํ้ามันสําเร็จรูปที่ปรับเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ใน 6 เดือนแรกยังมีผลกําไรจากสต๊อกนํ้ามัน 1,477 ล้านบาท เทียบกับขาดทุนจากสต๊อกนํ้ามัน 5,268 ล้านบาทใน 6 เดือนแรกปี 2566 และมีรายการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือนํ้ามันดิบและนํ้ามันสําเร็จรูป 89 ล้านบาท ลดลง 104 ล้านบาทจาก 6 เดือนแรกปี 2566
เมื่อรวมกําไรจากเครื่องมือทางการเงินที่เกิดขึ้นจริงสุทธิ 307 ล้านบาท (รวมเฉพาะรายการที่เกิดจากการป้องกันความเสี่ยงราคาสินค้าโภคภัณฑ์) ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์มี EBITDA 19,822 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7,022 ล้านบาท อีกทั้งกลุ่มไทยออยล์มีผลขาดทุนจากการวัดมูลค่ายุติธรรมของเครื่องมือทางการเงิน 333 ล้านบาท และผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ 1,106 ล้านบาท และมีกําไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้ เมื่อหักค่าเสื่อมราคา ต้นทุนทางการเงิน และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้แล้ว ส่งผลให้ครึ่งปีแรกนี้กลุ่มไทยออยล์มีกําไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 11,410 ล้านบาท