การเมืองสงบหนุนต่างชาติซื้อสุทธิต่อเนื่อง โบรกชี้ ก.ย. นี้เงินไหลกลับชัด
พบสัญญาณต่างชาติหวนซื้อสุทธิหุ้นไทยนับแต่ "อุ๊งอิ๊ง" รับไม้ต่อตำแหน่งนายกฯ "บล.ซีจีเอส " คาดเงินลงทุนจะไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือน ก.ย.67 เมื่อความไม่แน่นอนการเมืองลดลง ครม.ชุดใหม่จัดตั้งใน 2-3 สัปดาห์ บวกกับตลาดหุ้นไทยยังถูกกว่าภูมิภาค
กว่า 6-7 เดือนแรกของปี 2567 ตลาดหุ้นไทยในภาพรวมมีกระแสเงินลงทุนไหลออกชัด สะท้อนจากตัวเลขการขายสุทธินักลงทุนต่างประเทศกว่าแสนล้านบาท
โดยเฉพาะช่วงวันที่ 21 พ.ค. ถึง 28 มิ.ย. เป็นการทำสถิติขายยาวนานที่สุดต่อเนื่อง 28 วันทำการรวด รวม 51,635.66 ล้านบาท ขณะที่ข้อมูลล่าสุดนับแต่ 1 ม.ค. 2567 - 21 ส.ค. 2567 ขายสุทธิรวมเท่ากับ 127,920.11 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามในเดือน ส.ค. 2567 นี้ นักลงทุนต่างชาติกลับมาสลับซื้อสุทธิมากขึ้น อีกทั้งนับแต่มีความชัดเจนว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 31 และมีมติสภาผู้แทนราษฎรลงมติให้ดำรงตำแหน่งในวันเดียวกัน นักลงทุนต่างชาติก็มีสถานะเป็นผู้ซื้อสุทธิแทบจะต่อเนื่องทุกวันกระทั่งปัจจุบันเนื่องจากมีแนวโน้มสูงที่การสานต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจะทำได้อย่างรวดเร็วหลังปัญหาการเมืองสงบนิ่งแล้ว
อนึ่ง ระหว่างวันที่ 16-21 ส.ค. 2567 ต่างชาติแสดงสถานะซื้อสุทธิทุกวันทำการยกเว้น 19 ส.ค.2567 ที่ตัวเลขออกมาเป็นลบ 10,486.55 ล้านบาทซึ่งมีกรณีซื้อขายระหว่างผู้ถือหุ้นใหญ่ด้วยกันเองของ บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ SCCC มูลค่ารวม 12,177.18 ล้านบาท เพื่อปรับโครงสร้างภายใน ดังนั้นหากไม่รวมรายการดังกล่าว วันที่ 19 ส.ค.2567 ผู้ลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิ 1,690.63 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) ระบุถึง กระแสเงินลงทุนว่า ถึงแม้ตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ นักลงทุนต่างประเทศจะขายสุทธิ 1.2 แสนล้านบาท แต่คาดว่าเงินลงทุนจากต่างชาติจะไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนก.ย.67 เมื่อความไม่แน่นอนทางการเมืองลดลง บวกกับตลาดหุ้นไทย Underperform ตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ
จึงเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติน่าจะเปลี่ยนจากการลงทุนในกลุ่มปลอดภัย (defensive) และกลุ่มที่มีธุรกิจในต่างประเทศ (external exposure) มาลงทุนในกลุ่มที่เน้นธุรกิจในประเทศ (domestic play) และกลุ่มที่ underperform ตลาดอย่างมีนัยสำคัญแต่ยังมีพื้นฐานดี ดังนั้นหุ้น Top pick ของฝ่ายวิเคราะห์จึงประกอบด้วย AMATA, BBL, BCH, CBG, CPALL, CRC, KLINIQ และ PTTEP
ฝ่ายวิเคราะห์ยังเชื่อว่า พรรคร่วมรัฐบาลจะยังจับมือกันและน่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่อย่างเป็นทางการภายใน 2-3 สัปดาห์นี้ ซึ่งจะทำให้ความไม่แน่นอนทางการเมืองลดลงและตลาดหุ้นไทยน่าจะปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง จึงคงเป้าดัชนี SET สิ้นปีอยู่ที่ 1,420 จุด เท่ากับ P/E 15 เท่าในปี 2568 หรือ -1SD ของค่าเฉลี่ยห้าปี