‘ทรู’ หวัง EBITDA โตทะลุเป้า ตั้งเป้าขึ้นเบอร์ 1 พร้อมลงทุน 2 หมื่นล้าน เร่งลงทุนและเน็กเวิร์ค

‘ทรู’ หวัง EBITDA โตทะลุเป้า ตั้งเป้าขึ้นเบอร์ 1 พร้อมลงทุน 2 หมื่นล้าน เร่งลงทุนและเน็กเวิร์ค

“ทรู คอร์ปอเรชั่น” เผยปี 67 คาด “อิบิด้า” จะเติบโต 12-14% จากช่วงเดียวกันปีก่อน สะท้อนผ่านโตต่อเนื่อง 7 ไตรมาสติด พร้อมตั้งเป้าผงาดขึ้นเบอร์ 1 หลังทุ่มลงทุนแล้วกว่า 2 หมื่นล้าน ด้านราคาหุุ้นตั้งแต่ต้นปีเพิ่มขึ้น 135.64% ขณะที่ “นักลงทุนต่างชาติ” สนใจและเชื่อมั่นหุ้นเพิ่ม บ่งชี้ผ่านการถือหุ้นผ่าน “เอ็นวีดีอาร์” แตะ 62% เดินหน้าเร่งลงทุนและเน็กเวิร์ค แย้มปีหน้ามีแผนยกระดับบริการผ่าน “เอไอ” 

นายนกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE กล่าวว่า คาดแนวโน้มผลงานปี 2567 บริษัทจะมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จะเติบโต 12-14% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และ มีโอกาสที่จะมากกว่า 14% และมีกำไรหากไม่รวมการตัดจำหน่ายสินทรัพย์เครือข่ายที่มีความซ้ำซ้อนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย และคาดรายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) จะเติบโต 4-5% เทียบกับปีก่อน

“แนวโน้มปียังคงไม่เปลี่ยนแปลง คาดจะมีรายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย เติบโต 4-5% เทียบปีก่อน EBITDA จะเติบโต 12-14% ในขณะที่แนวโน้มค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน รวมถึงการลงทุนเพื่อการควบรวมกิจการยังคงอยู่ที่ 30,000 ล้านบาท โดยปีนี้ยังคงมีกำไรหากไม่รวมการตัดจำหน่ายสินทรัพย์เครือข่ายที่มีความซ้ำซ้อนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย”

นอกจากนี้ บริษัทตั้งเป้าในการขึ้นเป็นเบอร์ 1 โดยคงมุ่งเน้นการปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า ด้วยการลงทุนราว 10,000 ล้านบาท ในการให้บริการลูกค้าในระดับเวิลด์คลาส โดยมีแผนที่ต้องการพัฒนาสถานีฐานในสิ้่นปีนี้ให้ได้ 10,000 สถานี แต่ ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2567 ทำได้กว่า 10,800 สถานี ซึ่งถือได้ว่าเป็นไปตามแผน ซึ่งทำให้สามารถให้บริการลูกค้าด้วยประสบการณ์ที่ดีขึ้น โดยลูกค้า 60% ได้สปีดในการใช้งานรวดเร็วขึ้น รวมถึงการปรับปรุงสกอล์ความพึงพอใจของลูกค้า มีการปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น และจำนวนเน็ตเวิร์คที่รองรับผู้ใช้บริการในระบบ 5G จำนวน 12 ล้านราย   

นอกจากนี้ บริษัทได้มีการเพิ่มความปลอดภัยทางไซเบอร์ด้วย ไตรมาสที่ผ่านมามีการเพิ่มขึ้นกว่า 24% จากที่ที่แล้ว ปัจจุบันบริษัทมีการเร่งลงทุนและเน็กเวิร์คต่าง ๆ ในช่วง 9 เดือนรวมกว่า 20,000 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย หรือ IC เติบโต 4.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักจากการเติบโตในกลุ่มธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และออนไลน์ รายได้รวมอยู่ที่ 5.08 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.4% โดยมีปัจจัยหลักจากการเติบโตของรายได้จากการให้บริการในทุกกลุ่มธุรกิจ

“นับตั้งแต่ควบรวมกิจการ EBITDA เพิ่มขึ้น 5,530 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นการเติบโต 7 ไตรมาสติดต่อกัน โดยไตรมาส 3 ปี 2567 EBITDA ปรับตัวดีขึ้น 646 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน เพิ่มขึ้น 2.7% ขณะที่อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการปรับตัวดีขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่การควบรวมกิจการที่ 60.2%”

ส่วนกำไรไตรมาส 3 ปี 2567 เติบโต 30% เทียบกับไตรมาสที่แล้ว มีกำไรภายหลังการปรับปรุงดีขึ้นอยู่ที่ 3,100 ล้านบาท ขณะที่การพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยซึ่งได้ดำเนินการไปแล้วมากกว่า 10,800 สถานี จากทั้งหมดตามแผน 17,000 สถานี ถือว่าเป็นการบรรลุไปแล้วประมาณ 64% ซี่งจะทำให้ลูกค้าสามารถได้รับประสบการณ์ในการใช้งานได้ดียิ่งขึ้น

ทั้งนี้ การดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการผสานการบริหารผลงานร่วมกับวัฒนธรรมองค์กร ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจเมื่อเทียบกับปีก่อน รายได้จากบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้น 3.7% จาก ARPU เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 5.6% รายได้บริการออนไลน์เพิ่มขึ้น 7.5% โดยได้แรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของ ARPU อย่างต่อเนื่องที่ 9.8% ส่วนรายได้บริการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก เพิ่มขึ้น 0.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมี ARPU เพิ่มขึ้น 1.8% จากปีที่แล้ว

ขณะเดียวกัน ในไตรมาส 3 ปี 2567 บริษัทยังคงได้รับผลกระทบจากปัจจัยหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นภาวะน้ำท่วมในภาคเหนือ แต่ทว่าลูกค้าของบริษัทยังสามารถใช้งานเน็ตเวิร์คได้ ซึ่งในไตรมาส 3 ส่วนใหญ่จะมีผลประกอบที่ต่ำกว่าไตรมาสอื่น ๆ แต่บริษัทยังสร้างการเติบโตได้ 

ทั้งนี้ ในส่วนของราคาหุุ้น TRUE นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแล้ว 135.64% หากเทียบจากราคาปิดตลาด ณ วันที่ 29 ต.ค. 2567 อยู่ที่ 12.10 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท หรือเพิ่ม 1.68% โดยนักวิเคราะห์ให้ราคาที่เหมาะสมไว้ที่หุ้นละ 13.90 บาท ขณะที่มีสัดส่วนการถือหุ้นของนักลงทุนต่างชาติผ่านใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย หรือ NVDR อยู่ที่ 62% จากเมื่อวันที่ 3 มี.ค.2566 มีสัดส่วนอยู่ที่ 58.41% นั่นแสดงให้เห็นว่านักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจและเชื่อมั่นมากขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีแผนออกหุ้นกู้ในช่วงกลางเดือนพ.ย. 2567 นี้ และในปี 2568 มีแผนที่จะนำ ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาใช้วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าในเชิงลึก เพื่อสร้างสรรค์บริการรูปแบบใหม่ เพื่อยกระดับการดำเนินธุรกิจ และตอบโจทย์การใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และยังภูมิใจที่เป็นรายแรกในประเทศไทยที่นำแผนการใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบของ GSMA มาใช้ เพื่อให้มั่นใจว่าการใช้ AI ของเราเป็นไปอย่างมีจริยธรรมและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล