SCC เผยไตรมาส 3/67 กำไร 721 ล้าน ลด 81% ขาดทุนปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ-บาทแข็ง

SCC เผยไตรมาส 3/67 กำไร 721 ล้าน ลด 81% ขาดทุนปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ-บาทแข็ง

SCC เผยไตรมาส 3 ปี 67 มีกำไร 721 ล้านบาท ลดลง 81% จากไตรมาสก่อน หลังรับรู้ขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ - ผลกระทบบาทแข็งค่า และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่ลดลง ส่วน 9 เดือนมีกำไร 6,854 ล้านบาท ลดลง 75%

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยผ่าน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ผลประกอบการในไตรมาส 3 ปี 2567 บริษัทมีกำไรสุทธิ 721 ล้านบาท ลดลง 81% จากไตรมาสก่อน และลดลง 70% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรับรู้ขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ และได้รับผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่แข็งค่า ประกอบกับส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่ลดลง

โดยไตรมาสนี้ บริษัทมีรายได้จากการขาย 128,199 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของเอสซีจี เคมิคอลส์ (เอสซีจีซี) และเอสซีจีพี

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนของปี 2567 เอสซีจี มีรายได้จากการขาย 380,660 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นของเอสซีจี เคมิคอลส์ (เอสซีจีซี) และเอสซีจีพี ในขณะที่ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้างมียอดขายลดลง และมีกำไรสาหรับงวดเท่ากับ 6,854 ล้านบาท ลดลง 75% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

เนื่องจากมีกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในปี 2566 และ เอสซีจี เคมิคอลส์ (เอสซีจีซี) มีผลการดำเนินงานลดลง จากการรับรู้ค่าใช้จ่ายของโรงงานปิโตรเคมีที่เวียดนามประกอบกับส่วนต่างราคาขายสินค้าเคมีภัณฑ์และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง

SCC ลงทุนเพิ่มในโครงการ LSP เวียดนามอีก 2.3 หมื่นลบ. แล้วเสร็จปลายปี

นายธรรมศักดิ์ เปิดเผยต่อว่า โครงการ Long Son Petrochemicals Company Limited (หรือ LSP) ประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จํากัด (มหาชน หรือ SCGC ที่ SCC ถือหุ้นทั้งหมด จะดําเนินโครงการเพิ่มวัตถุดิบการผลิตเพื่อรองรับก๊าซอีเทน ด้วย งบประมาณลงทุนรวมประมาณ 700 ล้านดอลลาห์สหรัฐ (หรือประมาณ 23,000 ล้านบาท)

โดย LSP อยู่ระหว่าง ดําเนินการขอใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานรัฐของประเทศเวียดนาม ทั้งนี้ ในเบื้องต้น LSP จะพิจารณาใช้ แหล่งเงินทุนภายใน SCC และคาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จภายในปลายปี 2570

โครงการดังกล่าวจะช่วยทําให้ LSP สามารถรับวัตถุดิบก๊าซอีเทนจากสหรัฐอเมริกาและช่วยเพิ่มขีด ความสามารถในการแข่งขันของโรงงาน LSP อย่างมีนัยสําคัญ โดยมีต้นทุนวัตถุดิบที่ต่ำลงและเพิ่มความยืดหยุ่น ในการรับวัตถุดิบในการผลิตมากขึ้น พร้อมทั้งยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วย

กระบวนการผลิตโอเลฟินส์ของ LSP ได้รับการออกแบบให้มีความยืดหยุ่นเพื่อรับวัตถุดิบประเภทก๊าซได้ ดังนั้น งบประมาณลงทุนส่วนใหญ่ของโครงการ จะนําไปใช้สําหรับการสร้างระบบการจัดการและถังเก็บรักษา วัตถุดิบก๊าซอีเทน ซึ่งต้องอยู่ภายใต้อุณหภูมิต่ําประมาณ 90 องศาเซลเซียส เมื่อโครงการแล้วเสร็จ โรงงาน LSP จะสามารถรับก๊าซอีเทนได้มากถึงสองในสามส่วนของปริมาณวัตถุดิบทั้งหมด โดยส่วนที่เหลือจะเป็นก๊าซโพรเพนและแนฟทา

LSP มีมูลค่าการลงทุน 5.2 พันล้านดอลลาห์สหรัฐ (หรือประมาณ 170,000 ล้านบาท) โดยหลังจากการ ทดสอบการเดินเครื่องจักรขั้นสุดท้าย โรงงาน LSP ได้เริ่มดําเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ เนื่องด้วยช่วงวัฏจักรขาลงของธุรกิจปิโตรเคมีและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกใน ปัจจุบัน LSP จะติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิดเพื่อพิจารณาการเดินโรงงานที่เหมาะสม