MINT กำไร Q3/67 โต 16 % ที่ 2,636 ล้าน แรงหนุนโรงแรม -ร้านอาหารเพิ่มกำไรขั้นต้น
MINT ทำกำไรพุ่งทั้งไตรมาส 3 และงวด 9 เดือน เติบโตจรายได้ทั้งธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารพลักดันกำไรขั้นต้นเพิ่ม มีกำไรสุทธิ 9 เดือนที่ 5,514 ล้าน บาท เติบโต 19 % อัตราการทํากําไรสุทธิที่ 4.4 %
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด (มหาชน) หรือ MINT รายงานไตรมาส 3 ปี 2567 รายได้จากการดําเนินงานเพิ่มขึ้น 5 % เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 42,028 ล้านบาท การเติบโตนี้เป็นผลมาจากแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของกลุ่มโรงแรมของบริษัท ทั้งจากรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPar) และราคาห้องพักเฉลี่ย (ADR) ที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดู กาลท่องเที่ยวไฮซีซั่นของยุโรป
รวมถึงในประเทศไทยแม้ว่าจะอยู่ในช่วงฤดูฝน ซึ่งได้รับแรงหนุนจากความต้องการสำหรับการเดินทางเพื่อธุรกิจและการพักผ่อนที่แข็งแกร่ง ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนอย่างมีประสิทธิผล
ส่วนของธุรกิจร้านอาหาร การเติบโตของยอดขายต่อร้านเดิม (SSSG) ของแบรนด์หลักในประเทศไทยและสิงคโปร์ได้รับแรงหนุนจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ การตลาดแบบเจาะกลุ่มเป้าหมาย และการบริหารจัดการรายได้เชิงกลยุทธ์สำหรับการมารับประทานอาหารที่ร้านและช่องทางเดลิเวอรี่ ซึ่งช่วยเพิ่มปริมาณและยอดขายในไตรมาส 3 ปี 2567
บริษัทมีกําไรจากการดําเนินงานก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีและค่าเสื่อม (Core EBITDA) เติบโต 9 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 12,036 ล้านบาท ยกระดับอัตราการทํากําไรจากการดําเนินงานก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี และค่าเสื่อม (EBITDA Margin) เพิ่มขึ้นเป็น 28.6 % จาก 27.8 %จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
การขยายตัวของอัตราการทํากําไรได้รับแรงผลักดันจากการเพิ่มประสิทธิภาพ ผลตอบแทนผ่านการ บริหารช่องทางในการจัดจําหน่าย โดยเฉพาะช่องทางจองโรงแรมโดยตรงที่เพิ่มสูงขึ้นและการดึงดูดลูกค้าให้ เข้ามารับประทานอาหารในร้านอาหารเพิ่มขึ้น พร้อมด้วยการควบคุมต้นทุนอย่างมีวินัยและการเพิ่มประสิทธิภาพในส่วนของการดําเนินงานส่วนกลาง
โดยการใช้ประโยชน์จากการประหยัดจากขนาด (Economies of Scale) ทั่วทั้งกลุ่มโรงแรมและร้าน อาหารทําให้ MINT สามารถบรรเทาแรงกดดันด้านเงินเฟ้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ความสามารถในการทํากําไรโดยรวมเพิ่มขึ้น
บริษัทกําไรสุทธิจากการดําเนินงานในไตรมาส 3 ปี 2567 อยู่ที่ 2,636 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตราการทํากําไรสุทธิอยู่ที่ 6.3 % การเติบโตนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถเชิงกลยุทธ์ของ MINT ที่ได้รับประโยชน์จากการเพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนและราคาห้องพักเฉลี่ยของกลุ่มโรงแรม ควบคู่ไปกับผลกําไรจากการดําเนินงานของทั้งสองธุรกิจ ทําให้บริษัทได้รับประโยชน์จากการขับเคลื่อนของอุตสาหกรรมที่ดีขึ้น
สำหรับผลการดําเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 รายได้จากการดําเนินงานของ MINT เพิ่มขึ้น 9 % จากช่วง เดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 124,277 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหลักจากทั้งกลุ่มโรงแรมและร้านอาหาร ธุรกิจโรงแรมยังคงเพิ่ม ราคาห้องพักเฉลี่ยและอัตราการเข้าพักได้ในขณะที่ธุรกิจร้านอาหารได้รับประโยชน์จากยอดขายโดยรวมทุกสาขา (TSS) ที่เพิ่มขึ้นในตลาดหลัก และมีกําไรจากการดําเนินงานก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีและค่าเสื่อมในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 เติบโต11 % จากชวงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 33,623 ล้านบาท โดยมีอัตราการทํากําไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีและ ค่าเสอมจากการดําเนินงาน 27.1 %
ทั้งนี้ กําไรสุทธิจากการดําเนินงานสำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2567 อยู่ที่ 5,514 ล้าน บาท เติบโต 19 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตราการทํากําไรสุทธิที่ 4.4 % แสดงให้เห็นถึงการบริหารจัดการ โครงสร้างต้นทุนที่มีประสิทธภาพและการเติบโตเชิงกลยุทธ์จากความคิดริเริ่มใหม่ๆ
หากนับรวมรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในไตรมาส 3 ปี 2567 บริษัทมีรายได้ตามที่รายงาน 42,000 ล้านบาท เติบโต 5 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกําไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีและค่าเสื่อมตามที่รายงานลดลง 12 % เทียบกับช่วง 12 พฤศจิกายน 2567 * ไม่นับรวมรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว
รวมสวนแบ่งกําไรและรายได้อื่นเดียวกันของปีก่อนเป็น 9,709 ล้านบาท ขณะที่กําไรสุทธิตามที่รายงานอยู่ที่ 149 ล้านบาท ลดลงจาก 2,144 ล้านบาท โดย หลักมาจากผลกระทบทางบัญชีที่ไม่ใช่เงินสดจากการประเมินมูลค่าของตราสารอนุพันธ์ป้องกันความเสี่ยง ท่ามกลางความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
โดยค่าเงินบาทผันผวน 12 % เมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์ และ 9 % เมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโรในไตรมาสนี้รายการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเป็นผล มาจากการป้องกันความเสี่ยงจากสกุลเงิน ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อผลการดําเนินงานหลักหรือความสามารถในการทํากําไรที่แท้จริง เนื่องจาก กําไรและขาดทุนที่ถูกบันทึกเหล่านี้จะหักกลบกันไปเมื่อสิ้นสุดสัญญาอนุพันธ์