S&P 500 พุ่งขึ้น 23% ปี 2024 ปิดตลาดลดเล็กน้อยช่วงสุดท้ายของปี

S&P 500 พุ่งขึ้น 23%  ปี 2024 ปิดตลาดลดเล็กน้อยช่วงสุดท้ายของปี

ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลงในวันอังคาร แต่นักลงทุนปิดปีบูมของตลาดอีกหนึ่งปี ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้นแรงเป็นปีที่สองติดต่อกันเกิน 20% โดยมีปัจจัยหนุนส่งจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ และกระแสปัญญาประดิษฐ์ AI

ซีเอ็นบีซีรายงานว่า เมื่อวันอังคาร (31 ธ.ค.) ซึ่งเป็นวันซื้อขายสุดท้ายของปี 2024 ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดลดลง 0.43% ที่ 5,881.63 จุด ขณะที่ดัชนี Nasdaq Composite ปรับตัวลดลง 0.9% เหลือ 19,310.79 จุด ส่วนดัชนีดาวโจนส์ Dow Jones Industrial Average ลดลงเล็กน้อย 0.07% หรือ 29.51 จุด ลงมาที่ 42,544.22 จุด

สำหรับปี 2024 ดัชนี S&P 500 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 23.31% โดยเพิ่มขึ้นจากปีที่ก่อนหน้าที่ 24.2% การพุ่งขึ้นแรง 53% ใน 2 ปีที่ผ่านมาถือเป็นการเติบโตที่ดีที่สุดนับตั้งแต่การทะยานขึ้นเกือบ 66% ในปี 1997 และ 1998

ขณะเดียวกัน ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 12.88% ในปี 2024 ขณะที่ดัชนีแนสแด็กทำผลงานได้ดีกว่าพุ่งขึ้น 28.64%

กระแสความตื่นตัวต่อ AI และศักยภาพในการเพิ่มผลผลิตช่วยผลักดันให้ค่าดัชนีหลักๆ พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์หลายรอบของปี หุ้นชิป AI ที่เป็นที่ชื่นชอบอย่าง Nvidia และยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือ iPhone อย่าง Apple ซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มที่เรียกว่า หุ้น 7 นางฟ้า “Magnificent 7” พุ่งขึ้น 171% และ 30% ตามลำดับ และทำสถิติสูงสุดใหม่ในปี 2024

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ช่วยผลักดันให้ราคาพุ่งขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 1 % เต็มตั้งแต่เดือนกันยายน ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจของสหรัฐสามารถรักษาการเติบโตในช่วงที่ผ่านมาได้ นอกจากนี้ หุ้นยังพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน นักลงทุนพึงพอใจกับแนวนโยบายการลดภาษีและผ่อนปรนกฎระเบียบมากขึ้นภายใต้การบริหารของพรรครีพับลิกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นธนาคารเป็นกลุ่มหนึ่งที่พุ่งขึ้นหลังการเลือกตั้ง โดย JPMorgan และ Goldman Sachs ปิดตัวพุ่งขึ้นสูงประมาณ 41% และ 48% ตามลำดับในปีนี้ หุ้นของ Tesla ซึ่งซีอีโอ อีลอน มัสก์ เป็นพันธมิตรใกล้ชิดของทรัมป์ ปิดปีด้วยราคาที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 62%

ขณะเดียวกัน Bitcoin มีผลงานที่ดีกว่าตลาดหุ้นด้วยซ้ำ โดยทะยานขึ้น 119% ในปีนี้ ทะลุ 100,000 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกในปีนี้

“ผมคิดว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความคึกคักนั้นก็คือ คุณมีการพัฒนาที่ดีในทุกด้านในปี 2024 คุณมีอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง โดยเฟดลดดอกเบี้ยลงแรงในเดือนกันยายนเมื่อพวกเขาเริ่มต้นลดอัตราดอกเบี้ย” หย่งหยู่ หม่า ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุนของ BMO Wealth Management กล่าว “และในช่วงเวลาส่วนใหญ่ คุณมีอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีที่มีการเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ดีมาก ควบคู่ไปกับการเติบโตของกำไร ดังนั้น ทุกอย่างดีพร้อมไปหมดในคราวเดียวกัน”

ในไตรมาสที่สี่ Nasdaq และ S&P เพิ่มขึ้น 6.2% และ 2.1% ตามลำดับ ปรับขึ้นเป็นไตรมาสที่ห้าติดต่อกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2021 ส่วนดัชนี Dow เพิ่มขึ้นเพียง 0.5% ในช่วงเวลาเดียวกัน ดัชนีบวกเป็นไตรมาสที่สี่ติดต่อกันในรอบห้าไตรมาส

แม้จะมีผลงานที่แข็งแกร่งตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน แต่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทกลับประสบปัญหาในช่วงวันสุดท้ายของเดือนธันวาคม โดยนักลงทุนเทขายทำกำไรในหุ้นที่ทำกำไรได้มากที่สุดในปี 2024 และเกิดความกลัวว่มากขึ้นว่าอัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้น ดัชนีดาวโจนส์ปิดเดือนที่ร่วงลง 5.3% ดัชนี S&P ลดลง 2.5% ในขณะที่ดัชนี Nasdaq ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.5%

“หากเราถือหุ้นราคาแพง และรับรู้ว่าราคาสูงมากแล้ว ปัจจัยกระตุ้นสำหรับการเคลื่อนไหว 10% ต่อไปคืออะไร และหากไม่ชัดเจน ผมคิดว่าอย่างน้อย ณ สิ้นปี เราเห็นคนเทขายทำกำไรกันมาก” หม่ากล่าวเสริม

นักลงทุนต่างหวังว่า จะเกิดภาวะที่เรียกว่า “ซานตาคลอส แรลลี่” เมื่อตลาดเข้าสู่ช่วง 5 วันทำการสุดท้ายของปีปฏิทินและ 2 วันทำการแรกเดือนมกราคม แต่ S&P 500 ปิดปีด้วยการร่วงลงติดต่อกันสี่วันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1966 (2509) โดยหุ้น Apple และ Nvidia ร่วงลงในวันศุกร์เป็นการลดลงวันที่สามติดต่อกันในรอบสี่วัน ตลาดหุ้นสหรัฐปิดทำการในวันพุธเนื่องในวันปีใหม่