ลิสต์หุ้นถูกเก็งกำไร "ขายชอร์ต" ปรับ Uptick รายตัว- HFT เฉพาะ Set100

ภาวะตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงรุนแรงและยังมีความผันผวน บวกกับสภาพคล่องตามมูลค่าการซื้อขายชะลอตัวลงทำให้มาตรการที่เคยดำเนินการปี 2567 เริ่มกลายเป็นอุปสรรคในการเพิ่มเม็ดเงินลงทุนใหม่เข้ามาในตลาดหุ้นไทย
คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ มีมติเห็นชอบแนวทางปรับปรุงมาตรการพิจารณาแนวทางและมาตรการอย่างรอบด้านเพื่อให้เกิดความเหมาะสมของการใช้มาตรการตามสถานการณ์ มุ่งหวังที่จะเพิ่มความเชื่อมั่นผู้ลงทุน และสร้างเสถียรภาพตลาดหุ้นไทย
สำหรับการปรับ 5เกณฑ์ดังกล่าว หากผ่าน Public Hearing เรียบร้อยแล้ว รวมถึงเกณฑ์อื่นๆที่ใช้ก่อนหน้านี้ ทางตลาดหลักทรัพย์ฯจะคงนโยบายดังกล่าวในช่วงที่เหลือของปี เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในเชิงนโยบาย (ไม่กลับไปกลับมา) โดยจะทบทวนอีกครั้งในปี 2569 บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย)มีมุมมอง “เป็นกลาง” ต่อประเด็นดังกล่าว
โดยเกณฑ์ที่จะปรับมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 1.ปรับปรุงคุณสมบัติหุ้น Short Sell เป็นเฉพาะหุ้นใน SET100 จากเดิมที่ต้องมี Market Cap.เฉลี่ย 3 เดือนสูงกว่า 7,500 ล้านบาท , Monthly Turnoverในรอบ 12 เดือนมากกว่า 2%, และ Free Float มากกว่า 20% 2.กำหนดให้ใช้ Uptick เมื่อจำเป็น เช่น ถ้าราคาหุ้นปรับตัวลงจากวันก่อนหน้ามากกว่า X% ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯจะกำหนดให้ใช้มาตรการ Uptick กับหุ้นนั้นในวันถัดไป
3.ให้ใช้ High Frequency Trading เฉพาะหุ้นใน SET100 แต่ไม่บังคับใช้กับ Market Maker และหลักทรัพย์บางประเภท 4.ยกเลิกการกาหนดเวลาขั้นต่ำในการส่งคำสั่งก่อนที่จะสามารถยกเลิกคำสั่งได้ (Minimum Resting Time) 5.เลื่อนการบังคับใช้ Dynamic Price Band เฟส2 ออกไปก่อน
ตลาดหลักทรัพย์มีการ ปรับเกณฑ์ Short Sell และ High Frequency Trading โดยให้จำกัดเฉพาะหุ้นใน SET100 เท่านั้น และให้ใช้ “Uptick เมื่อจำเป็น ” ซึ่งอาจทำให้หุ้นขนาดใหญ่ใน SET100 มีความผันผวนเชิงลบมากขึ้น หากปัจจัยพื้นฐานยังไม่ดี (Valuation แพง, ปันผลน้อย, ผลประกอบการชะลอตัว) และราคาหุ้นในกราฟทางเทคนิคทำจุดต่ำสุดใหม่ต่อเนื่องแต่สำหรับหุ้นขนาดกลาง-เล็กใน SSET และ mai มีโอกาสผันผวนลดลงจากเกณฑ์ดังกล่าว
โดยเฉพาะหุ้นที่เคยถูก Short Sell ได้ แต่ไม่สามารถทำธุรกรรมดังกล่าวได้ตามเกณฑ์ใหม่ อาจเห็นแรงเก็งกำไรคล้ายกับรอบปรับเพิ่ม Market Cap. หุ้น Short Sellจาก 5,000 ล้านบาทเป็น 7,500 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2567 ซึ่งถ้าหากผ่าน Public Hearing ตลาดหลักทรัพย์ฯคาดว่าจะเริ่มใช้เกณฑ์ใหม่ได้ภายในไตรมาส 2 ปี 2568
โดยใน “ด้านบวก” คือ มีการจำกัดหุ้นให้ Short Sell และ HFT ได้เฉพาะ SET100 ทำให้หุ้นขนาดกลาง-เล็ก (SSET + mai) มีโอกาสผันผวนเชิงลบลดลง ส่วน “ด้านลบ” คือ การใช้ Uptick เมื่อจำเป็นอาจทำให้หุ้นใน SET100 ที่กราฟเป็นขาลงมีโอกาสหลุดจุดต่ำสุดเดิมแล้วสร้าง Sentiment เชิงลบต่อราคาหุ้นได้ง่ายขึ้น เมื่อเทียบกับการใช้ Uptick ทุกหลักทรัพย์
การปรับเกณฑ์ Short Sell และ HFT มีหุ้นหลุดโผ SBL ที่อาจแรงซื้อกลับที่ประชุมคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์มีมติปรับเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการ Short Sell และ High Frequency Trading (HFT) รวมถึงการผ่อนปรนบางเกณฑ์ที่เคยบังคับใช้ในปี 2567 ซึ่งหลังจากทำ Public Hearingคาดว่าจะเริ่มใช้เกณฑ์ที่ปรับปรุงใหม่นี้ปลายไตรมาส 2 ปี 2568
จากการพิจารณาหุ้นที่มีโอกาสหลุดจากรายชื่อหุ้น Short Sell และ Valuation ไม่แพง ประกอบกับ ราคาหุ้นอยู่ในโซนด้านล่าง มีโอกาสฟื้นตัวทางเทคนิค พบหุ้นที่น่าสนใจสำหรับเก็งกำไรระยะสั้น คือ MBK, THCOM, SNNP, PSL, TTA, MASTER, NER, NSL, ONEE, PTG
ขณะที่หุ้นที่ถูกถอดจากตะกร้า SBL อาจเห็นแรงเก็งกำไรหากเกณฑ์ดังกล่าวมีผลบังคับใช้จริง จะทำให้หุ้นที่ Market Cap. สูงกว่า 7,500 ล้านบาท แต่ไม่อยู่ใน SET100 ถูกตัดออกจากรายชื่อหุ้นที่ให้สามารถยืม Short Sell ได้ ซึ่งคาดว่าจะเห็นแรงเก็งกำไร จากความคาดหวังในการ Short Covering คล้ายกับรอบปรับ Market Cap. จาก 5,000 ล้านบาท เป็น 7,500 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2567
จากการพิจารณาหุ้นที่มีโอกาสหลุดจากรายชื่อหุ้น Short Sell และ Valuation ไม่แพง ประกอบกับ ราคาหุ้นอยู่ในโซนด้านล่าง มีโอกาสฟื้นตัวทางเทคนิค ได้หุ้นที่น่าสนใจสำหรับการเก็งกำไรธีมนี้ คือ MBK, THCOM, SNNP, PSL, TTA, MASTER, NER, NSL, ONEE, PTG