หุ้น COCOCO ร่วงแรง 8.47% กำไรขั้นต้นทำจุดต่ำสุดตั้งแต่ IPO

ความเคลื่อนไหว"ตลาดหุ้นไทย"ภาคเช้า ณ วันที่ 21 ก.พ.2568 เวลา 10.10 น. หุ้น COCOCO หรือ บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) ลบ 8.47% ลดลง 0.75 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 8.10 บาท 

จรูญพันธ์ วัฒนวงศ์ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บล.ลิเบอร์เรเตอร์ เปิดเผยว่า หุ้น COCOCO คาดรายได้ 1,727 ล้านบาท หดตัว -9.8% q-q เนื่องจากเป็น Low season แต่ขยายตัว +23.6% จากการขยายกำลังการผลิตน้ำมะพร้าว +163.5% y-y ระหว่างปีก่อนหน้า เราเชื่อว่า ยอดขายน้ำมะพร้าวจะขยายตัวต่อไปได้จากอุปสงค์ในจีนที่ยังแข็งแกร่ง

ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นไตรมาส 4/67 ทำจุดต่ำสุดตั้งแต่เสนอขาย IPO เนื่องจาก ราคามะพร้าว ไตรมาส 4/67 ปรับตัวขึ้นอีก +12.0% q-q เป็นผลจากภาวะเอลนีโญก่อนหน้า และอุปสงค์มะพร้าวที่รุนแรง ส่งผลให้ต้นทุนวัตถุดิบคุมไม่อยู่ อัตรากำไรขั้นต้นของน้ำมะพร้าวจึงหดตัว -590bps q-q เป็น 21.9% กะทิหดตัว -566bps q-q เป็น 13.1% ผนวกกับคำสั่งซื้อมากกว่าที่คาด จึงต้องสั่งวัตถุดิบราคาแพงเพิ่มเติม ขณะที่กลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงมีการตั้งสำรองด้อยมูลค่าสินค้าราว 20 ลบ. ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นจึงหด -1,503 bps q-q เหลือเพียง 12.8%

นอกจากนี้ คาดตลาดจะตอบรับเชิง “ลบ” จากกำไรที่ต่ำกว่าที่ตลาดคาด ซึ่ง Bloomberg consensus คาดไว้สูงที่ 147 ล้านบาท โดยเรามีแนวโน้มปรับประมาณการปีนี้ ลงอีกครั้งหลังเห็นความชัดเจนด้านราคาวัตถุดิบในปีนี้ ประมาณการกำไรสุทธิปีนี้ ปัจจุบันอยู่ที่ 980 ล้านบาท ราคาเป้าหมายที่ 11.60 บาท/หุ้น อิง P/E 17.4 เท่า

วรวัฒน์ ชิ้นปิ่นเกลียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ไทย โคโคนัท [COCOCO] เปิดเผยว่า บริษัทฯ และบริษัทย่อย รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 67 มีรายได้รวม 6,619.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.44% และมีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 686.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.26% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายทั้งต่างประเทศและในประเทศที่เพิ่มขึ้น ตามความต้องการของตลาด ซึ่งมีรายได้เติบโตจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคเอเชียและภูมิภาคอื่นๆ โดยเฉพาะจากการขยายตัวของตลาดน้ำมะพร้าวในประเทศจีนที่มีอุปสงค์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตของกลุ่มตลาดเครื่องดื่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการขยายตัว ประกอบกับ บริษัทฯ ใช้กลยุทธ์การขยายช่องทางการจัดจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพ ช่วยเสริมให้ผลิตภัณฑ์หลักของบริษัท ได้แก่ น้ำมะพร้าว กะทิ และอาหารสัตว์เลี้ยง มียอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้รายได้จากการขายและบริการขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ

ต้นทุนขายและบริการในปี 67 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.27% โดยเป็นผลจากยอดขายผลิตภัณฑ์กะทิที่ขยายตัวสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้บริษัทต้องจัดหาวัตถุดิบเพิ่มเติมในราคาที่สูงขึ้นจากผลกระทบของปรากฏการณ์เอลนีโญ ส่งผลกระทบต่อราคาวัตถุดิบและต้นทุนการผลิต แม้จะมีการสำรองวัตถุดิบล่วงหน้าประมาณ 6 เดือน แต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น

นายวรวัฒน์ กล่าวว่า บริษัทได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมแผนบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเข้าลงทุนจัดตั้งโรงงานที่ประเทศฟิลิปปินส์ จะช่วยให้สามารถเข้าถึงแหล่งวัตถุดิบมะพร้าวที่มีต้นทุนต่ำ ช่วยเพิ่มความสามารถในการควบคุมต้นทุนวัตถุดิบในระยะยาว และควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น นอกจากนี้ บริษัทได้ดำเนินมาตรการบริหารจัดการต้นทุนผ่านการปรับปรุงกระบวนการผลิต และเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักร เพื่อเสริมสร้าง Economy of Scale และดำเนินโครงการลดต้นทุนด้านพลังงาน อาทิ การติดตั้ง Solar Rooftop ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตในระยะยาวและเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน

“บริษัทมีกำไรสุทธิปี 67 เพิ่มขึ้นตามยอดขายต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นตามความต้องการของตลาด แต่ในไตรมาสที่ 4/67 กำไรสุทธิลดลง โดยเป็นผลชั่วคราวมาจากการขายผลิตภัณฑ์กะทิที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้บริษัทฯ ต้องมีการซื้อวัตถุดิบสำหรับผลิตกะทิเพิ่มเติมโดยมีราคาเฉลี่ยสูงขึ้น จากปัจจัยต้นทุนขายและบริการ ส่งผลให้ต้นทุนสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ประกอบกับในไตรมาสที่ 4 จะเป็นช่วงฤดูหนาว(Low Season) ของอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม อย่างไรก็ตาม COCOCO ให้ความสำคัญ เฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมแผนบริหารจัดการไว้ในระยะยาว” นายวรวัฒน์ กล่าว

ปี 67 บริษัทฯ มีสัดส่วนการส่งออก 87.69% ของรายได้จากการขายและบริการ โดยมียอดขายในภูมิภาคอเมริกาเพิ่มขึ้น 48.55% ภูมิภาคเอเชียเพิ่มขึ้น 47.58% ภูมิภาคตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น 29.14% ภูมิภาคยุโรปเพิ่มขึ้น 21.63% และภูมิภาคแอฟริกาเพิ่มขึ้น 17.10% นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงเห็นโอกาสการเติบโตเพิ่มขึ้นของปริมาณการบริโภคผลิตภัณฑ์น้ำมะพร้าวที่เป็นสินค้ายอดนิยมของกลุ่มลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ COCOCO เดินหน้าขยายตลาดทั่วโลก พร้อมพัฒนากลยุทธ์บริหารต้นทุน หวังเสริมศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว