ดาวโจนส์พุ่งเกือบ 400 จุด หลังเฟดคงแผนลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้

ซีเอ็นบีซี รายงานภาวะตลาดหุ้นวอลล์สตรีทวันพุธ( 19 มี.ค.) ว่า ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ Dow Jones Industrial Average พุ่งขึ้น 383.32 จุด หรือ 0.92% ปิดที่ 41,964.63 จุด ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 1.08% ปิดที่ 5,675.29 จุด และดัชนี Nasdaq Composite พุ่งขึ้น 1.41% ปิดที่ 17,750.79 จุด

ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ไว้ที่ 4.25% - 4.5% ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่นักลงทุนจำนวนมากคาดการณ์ไว้

อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางสหรัฐยังคงคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ และระบุด้วยว่า “ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น”

“เศรษฐกิจโดยรวมแข็งแกร่งและมีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญในการบรรลุเป้าหมายของเราในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา” นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐกล่าวระหว่างการแถลงข่าวภายหลังการประกาศผลการตัดสินใจ “สภาพตลาดแรงงานแข็งแกร่ง และอัตราเงินเฟ้อขยับเข้าใกล้เป้าหมายระยะยาว 2% ของเรามากขึ้น แม้ว่าจะยังคงสูงบ้างก็ตาม”

นักลงทุนชื่นชอบที่เฟดยังคงคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยสองสามครั้งในปีนี้ เช่นเดียวกับที่พาวเวลยืนยันว่าเศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่ง เขายังกล่าวอีกว่าผลกระทบใดๆ จากภาษีศุลกากรต่ออัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นเพียงในระยะสั้นเท่านั้น

“สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องตระหนักคือ ข้อมูลที่ออกมาแทบจะตรงกับที่ผู้คนคาดหวังไว้ทุกประการ” ไมเคิล กรีน หัวหน้านักกลยุทธ์ของกองทุน Simplify Asset Management กล่าวกับทีวีซีเอ็นบีซี “ตอนนี้เรามีฤดูร้อนติดต่อกันสองครั้งที่อัตราเงินเฟ้ออ่อนตัวกว่าที่คาดไว้มาก และช่วงฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิติดต่อกันสองฤดูที่อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ซึ่งบ่งชี้ว่าปัจจัยฤดูกาลยังไม่ได้ถูกขจัดออกไปอย่างเหมาะสม”

การตัดสินใจของเฟดเกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และคู่ค้ารายใหญ่ เมื่อต้นเดือนนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เรียกเก็บภาษีสินค้าจากแคนาดา เม็กซิโก และจีน จากนั้น แคนาดาและจีนก็ได้ตอบโต้ด้วยการจัดเก็บภาษีของตนเอง

การยกเว้นภาษีชั่วคราวของทรัมป์สำหรับสินค้าบางรายการจากแคนาดาและเม็กซิโกจะสิ้นสุดลงในวันที่ 2 เมษายน

นักลงทุนกำลังฟื้นตัวจากภาวะการซื้อขายที่ผันผวนในช่วงวันอังคารที่ผ่านมา ซึ่งเห็นการเทขายในตลาดเมื่อไม่นานนี้กลับมาอีกครั้งหลังจากสองเซสชันการซื้อขายที่ตลาดปรับขึ้นได้ ดัชนีดาวโจนส์และ S&P 500 อยู่ต่ำกว่าระดับปิดล่าสุดมากกว่า 6% และมากกว่า 7% ตามลำดับ ในขณะเดียวกัน ดัชนีแนสแด็กอยู่ต่ำกว่าระดับปิดล่าสุดประมาณ 12%