โบรกปรับลงทุนทันควัน“Trump Tariffs” ลดหุ้นจีน-เวียดนามเพิ่มทอง

โบรกปรับลงทุนทันควัน“Trump Tariffs” ลดหุ้นจีน-เวียดนามเพิ่มทอง

บล.บัวหลวง ปรับลงทุนรับนโยบายตอบโต้การค้า กระทบกลุ่มพึ่งพาส่งออกจนพลิก“โครงสร้างการค้าโลก”ลดน้ำหนักหุ้นสหรัฐ-จีน-เวียดนาม ส่วนไทยถือลงทุนและเพิ่มลงทุนทองคำ

      บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง ออกบทวิเคราะห์  “มุมมองการปรับน้ำหนัก” ประเด็นรัฐบาล โดนัลด์ ทรัมป์ เพิ่งประกาศ มาตรการภาษีตอบโต้ทางการค้า 2 เม.ย. 2568 ผ่านมา โดยภาษีแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1.การเก็บภาษีขั้นต่ำ (Baseline) 10% ซึ่งจะเรียกเก็บกับสินค้าจากทุกจากประเทศที่สหรัฐนำเข้าสินค้า และ 2. การเก็บภาษีส่วนเพิ่ม (Additional) 10-49% กับหลายประเทศที่มีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐสูง

     สำหรับ ประเทศหลักที่พึ่งพาการส่งออก ได้แก่ ไทย 36%, เวียดนาม 46%, อินเดีย 26%, เกาหลีใต้ 25%, ไต้หวัน 32%, อินโดนีเซีย 32%, มาเลเซีย 24% กล่าวคือกลุ่มอาเซียน-เอเชียแปซิฟิก โดนถ้วนหน้า และอยู่ในระดับที่ “เปลี่ยนโครงสร้างการค้า” ได้เลย

       กลุ่มประเทศที่เดิมเคยเกินดุลทางการค้ามาก (เช่น ไทย, เวียดนาม) กลับกลายเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก นอกจากนี้ยังไม่มีการยกเว้นแม้แต่ประเทศพันธมิตร เช่น EU,ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ สะท้อนว่าแนวทางนี้ เป็นเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่ tactical ด้านผลกระทบมีหลายด้านจากมาตรการภาษีครั้งนี้เทียบได้กับจุดเริ่มต้นของ “Trade War 2.0” ซึ่งมีแนวโน้มรุนแรงและมีผลกระทบเชิงโครงสร้างมากกว่า Trade War ครั้งแรกในปี 2018

     “บริษัทข้ามชาติจำนวนมากอาจชะลอการลงทุน” เพื่อตีความท่าทีของสหรัฐ และประเมินความเสี่ยงทางธุรกิจใหม่ ส่งผลต่อ กระแส FDI และวัฏจักรการลงทุน (Capex Cycle) ในภูมิภาคต่างๆ   ด้านความเชื่อมั่นใน Global Supply Chain ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในภาคการผลิต ส่งผลต่อคาสั่งซื้อใหม่ (New Orders) และแผนการขยายกำลังการผลิต

      รวมทั้งแรงกดดันเงินเฟ้อ เพิ่มขึ้นจากราคาสินค้านำเข้าที่สูงขึ้น บั่นทอนความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศผู้นำเข้า  ความเสี่ยงของการเกิด “FragmentationofTrade” หรือการแบ่งขั้วการค้าระหว่างกลุ่มประเทศมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจเป็นปัจจัยฉุดการเติบโตของการค้าโลก

       โบรกปรับลงทุนทันควัน“Trump Tariffs” ลดหุ้นจีน-เวียดนามเพิ่มทอง

      โบรกปรับลงทุนทันควัน“Trump Tariffs” ลดหุ้นจีน-เวียดนามเพิ่มทอง

    “สรุปภาพรวม” จากมาตรการภาษีชุดนี้ไม่ใช่เพียงแค่ “กลยุทธ์กดดันเชิงการเมือง แต่ถือเป็นแรงกระแทกเชิงโครงสร้างต่อระบบการค้าโลก” หลายประเทศอาจจาเป็นต้องเร่งเข้าสู่กระบวนการเจรจาการค้าใหม่กับสหรัฐ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบในระยะยาว

      หากการเจรจาการค้าของหลาย ๆ ประเทศล่าช้า หรือไร้ความชัดเจน อาจนำไปสู่ภาวะการลงทุนชะงักงัน การบริโภคหดตัว และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ล่าช้ากว่าคาดการณ์

     มาตรการนี้จึงอาจกลายเป็น “จุดเปลี่ยนของโครงสร้าง Supply Chain โลก” ที่ผลักดันให้ธุรกิจต้องปรับตัวเข้าสู่ยุคใหม่ของการค้า ซึ่งเน้นความยืดหยุ่นมากกว่าประสิทธิภาพและการประหยัดต้นทุนการผลิตเพียงอย่างเดียว ในระยะสั้น เศรษฐกิจสหรัฐ มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะเข้าสู่ภาวะ mid-depth recession หากกระบวนการเจรจาการค้ายืดเยื้อและไร้ความคืบหน้า โดยประเมินว่า GDP อาจหดตัวในกรอบ -1.5% ถึง -2.0% ซึ่งถือว่ารุนแรงกว่ากรณี mild recession ที่เคยเป็นสมมติฐานหลักก่อนหน้านี้

         โบรกปรับลงทุนทันควัน“Trump Tariffs” ลดหุ้นจีน-เวียดนามเพิ่มทอง

      สำหรับแรงกระทบหลักจะมาจาก การบริโภคที่อ่อนแรงลงจากราคาสินค้านำเข้าที่สูงขึ้น, ความไม่แน่นอนทางนโยบายที่บั่นทอนความเชื่อมั่นภาคเอกชน และความเสี่ยงด้านการค้าโลกที่กดดันคำสั่งซื้อใหม่

      ด้านกลยุทธ์การลงทุนแม้ว่าก่อนหน้านี้เราได้ลดน้าหนักการลงทุนในตลาดหุ้นโลกลงมาแล้ว แต่ผลกระทบจากมาตรการภาษีมีแนวโน้มรุนแรงกว่าคาดการณ์ของตลาด จึงแนะนำให้ปรับน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นต่างๆ ลงเพิ่ม เพื่อลดความเสี่ยงในระยะสั้น อย่างไรก็ตามเชื่อว่าหลายๆ ประเทศจะเข้าสู่โต๊ะเจรจากับสหรัฐ ทำให้ผลกระทบอาจไม่รุนแรงอย่างที่กังวลกันในขณะนี้

        คาดว่า Turning Point สำคัญของตลาดหุ้นโลก คือ “สัญญาณการเปิดทางเจรจา” ซึ่งคาดจะเป็นจุด Peakของ Escalation Phase, เป็นจุดกลับตัวของ Fund Flow ที่จะกลับมาเข้าสินทรัพย์เสี่ยง และเป็นจุด Bottomของตลาดหุ้นทั่วโลกหลังสงครามการค้าคลี่คลาย ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะเวลาราว 3 เดือน (เทียบเคียงกับสงครามการค้าปี 2018) โดยจะติดตามพัฒนาการเชิงบวกก่อนกลับมาเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นต่างๆ ต่อไป