GULF ลุยขยาย 4 ธุรกิจ กางแผนหลังควบรวม ปั้นรายได้โต ปีละ 25%

GULF เดินหน้าเติบโต หลังควบรวม “อินทัช” ลุยขยาย 4 กลุ่มธุรกิจหลัก “พลังงาน-โครงสร้างพื้นฐาน-ดิจิทัล-การลงทุน” ทุ่มงบลงทุน 5 ปี “แสนล้าน” วางเป้ารายได้ระยะยาวโตปีละ 25%
วานนี้ (3 เม.ย.2568) บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เปิดตลาดอยู่ที่ 49.50 บาท สอดคล้องตามทฤษฎีราคาหุ้นของ “บริษัทใหม่” ควรอยู่ที่ 48.28 บาท ดังนั้น เท่ากับ ราคาหุ้น GULF ที่เปิดซื้อขายวันแรกไม่ได้ปรับตัวลง ก่อนมาปิดตลาดที่ 48.75 บาท ระหว่างวันหุ้น GULF ราคาสูงสุดที่ 50.50 บาท ต่ำสุด 48.75 บาท
ขณะที่ มูลค่ามาร์เก็ตแคปของหุ้นล่าสุดเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 728,317 ล้านบาท เดิมที่ 721,265 ล้านบาท (คำนวณจากราคาหุ้นใหม่ที่แท้จริง 48.28 บาทต่อหุ้น) หลังบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF และบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH
นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า หลังควบรวมแล้วบริษัทใหม่จะสร้างรายได้ “กลุ่มกัลฟ์” ระยะยาว 8-10 ปี โดยตั้งเป้าเติบโตเฉลี่ยปีละ 25% และคาดจะได้ส่วนแบ่งกำไรไม่น้อยกว่า 3,500 ล้านบาทต่อปี และจะได้เงินปันผลเพิ่มขึ้นกว่า 6,000 ล้านบาทต่อปี (เฉพาะในส่วนที่ถือหุ้นใน ADVANC 40.44%)
อีกทั้ง ยังมีฐานทุนแข็งแกร่งมาช่วยต่อยอดธุรกิจของกัลฟ์ทั้ง ธุรกิจพลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน โทรคมนาคม ดาต้าเซนเตอร์ และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล มุ่งสู่ธุรกิจแห่งอนาคตอย่างยั่งยืนระยะยาว
สอดคล้องกับ บริษัทมีแผนธุรกิจ และเป้าหมายที่ชัดเจนมุ่งมั่นเดินหน้าสร้างเติบโตต่อเนื่องระยะ 8-10 ปีข้างหน้า ทั้งด้านธุรกิจพลังงานโดยเฉพาะธุรกิจพลังงานหมุนเวียน โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ แบตเตอรี่ พลังงานลม และโรงไฟฟ้าเขื่อน จะมีกำลังการผลิตเพิ่มเติมเข้ามาทุกปี
รวมถึง โครงการ Gulf MTP LNG Terminal ที่เริ่มดำเนินการก่อสร้างแล้วจะมีการเปิดให้บริการเพิ่มอีก และยังมีธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน และสาธารณูปโภค อย่างท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 (ท่าเทียบเรือ F) คาดว่าปีนี้น่าจะเริ่มการก่อสร้าง และเปิดดำเนินการในปี 2570
พร้อมกันนี้ ยังต่อยอดธุรกิจดิจิทัลร่วมกับทาง ADVANC และ THCOM ให้มีผลประกอบการทั้งรายได้ และกำไรเพิ่มขึ้น โดยมีการศึกษาแพลตฟอร์มโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เพื่อพัฒนาธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานพลังงานยุคดิจิทัล ,ธุรกิจศูนย์ข้อมูล และธุรกิจการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล
“หลังควบรวมนอกจากฐานทุนแข็งแกร่ง โครงสร้างธุรกิจของ GULF มีแผนงาน และเป้าหมายชัดเจนในระยะ 10 ปีข้างหน้า มั่นใจว่า สร้างรายได้เติบโตได้ปีละ 25% และน่าจะเห็นการลงทุนที่มากขึ้นในเชิงรุก ด้วยงบลงทุน 5 ปี 1 แสนล้านบาท หรือลงทุนปีละ 2 หมื่นล้านบาท”
ทั้งนี้ กัลฟ์ยังเดินหน้าผลักดันการลงทุนโดยตั้งเป้างบลงทุน 5 ปี มูลค่า 1 แสนล้านบาท โดย 60-70% เป็นการลงทุนพลังงานสะอาดขณะที่ในปีนี้จะใช้งบลงทุน 2 หมื่นล้านบาท เป็นพลังงานสะอาด เช่น โซลาร์ ลม เขื่อน ราว 80% ของรายได้ปีนี้ และหลังจากวันที่ 1 เม.ย.68 ที่ผ่านมา น่าจะเห็นการลงทุนที่มากขึ้นในเชิงรุก
รวมถึงการลงทุนธุรกิจดาต้าเซนเตอร์โครงการที่ 2-3 และธุรกิจดิจิทัลมากขึ้น โดยดาต้าเซนเตอร์ปัจจุบันมีกำลังผลิต 25 เมกะวัตต์ ที่มีเป้าหมายจะสร้างเสร็จในไตรมาส 2 ปี 2568 ขณะนี้มีลูกค้าจองเต็มหมดแล้ว และจะขยายในเฟสต่อไปซึ่งกำลังการผลิตจะมากกว่าเดิม
โครงสร้างธุรกิจของGULF ในปัจจุบันแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ธุรกิจ คือ
1.ธุรกิจพลังงานครอบคลุม Gas-fired Power Generation , พลังงานหมุนเวียน และธุรกิจก๊าซ โดยในปี 2576 จะกำลังผลิตติดตั้งจากโรงไฟฟ้าก๊าซ 14,861 เมกะวัตต์ รวมทั้งจะมีกำลังผลิตติดตั้งจากพลังงานหมุนเวียน 8,991 เมกะวัตต์
2.โครงสร้างพื้นฐาน และสาธารณูปโภคอยู่ระหว่างพัฒนา 4 โครงการ เช่น ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (M6 และ M81) ,ระบบจำหน่ายไฟฟ้า และระบบทำความเย็นแบบรวมศูนย์ One Bangkok ,ท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ,ท่าเรือ LNG Terminal มาบตาพุด ระยะที่ 3
3.ธุรกิจดิจิทัล โดยดำเนินการ ศูนย์ข้อมูล (Data Center) ,Could และศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล
4. การลงทุนอื่นๆ การลงทุนถือหุ้นในADVANCและ THCOM
ส่วน กรณี “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากไทย ยืนยันบริษัทไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากไม่ได้มีการส่งออก และมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT)
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์