หุ้นไทยเช้านี้ลบ 2.35 จุด สหรัฐเก็บจีนเพิ่ม 104% โบรกแนะยังไม่เร่งลงทุนแม้ราคาถูก

หุ้นไทยเช้านี้อยู่ที่ 1,072.24 จุด ลบ 2.35 จุด หรือ 0.22% สหรัฐเก็บจีนเพิ่ม 104% กดดันสินทรัพย์เสี่ยง โบรกแนะยังไม่เร่งลงทุนแม้ราคาถูก
ความเคลื่อนไหวตลาด "หุ้นไทย" ภาคเช้า ณ วันที่ 9 เม.ย.2568 เวลา 10.10 น. อยู่ที่ 1,072.24 จุด ลบ 2.35 จุด หรือ 0.22% มูลค่าการซื้อขาย 8,068.45 ล้านบาท
วทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย เปิดเผยว่า Dow Jones ปิดลบ 320 จุด หรือ -0.84% ในช่วงแรกตลาดหุ้นสหรัฐฯเปิดตัวแดนบวกอย่างแข็งแกร่ง แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นพบว่าสหรัฐฯ ประกาศจะขึ้นภาษีจากจีนในอัตรา 104% มีผลทันทีในวันนี้ เหตุผลจีนไม่ยอมถอนมาตรการตอบโต้ภาษี กดดันตลาดหุ้นพักตัวลงมา ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 2.2% กังวลอุปสงค์จะหายไปจากสงครามการค้า
ทั้งนี้ ทำให้เม็ดเงินถูกโยกเข้าไปยังสินทรัพย์ปลอดภัย สะท้อนผ่านการปรับลงของ US Bond Yield อย่างไรก็ตามกับราคาทองคำปรับลงเล็กน้อย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าปรับลงตามตลาดหุ้นจากการลดความเสี่ยง ข้อสังเกตที่น่าสนใจก็คือในช่วง 1 อาทิตย์ที่ผ่านมา ช่วงที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับลงแรงพบว่า ราคาทองคำก็ปรับลงเช่นกัน บ่งชี้ว่าหากตลาดหุ้นปรับลงแรงทองคำแม้จะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยก็จะปรับลงเช่นกัน อาจสะท้อนว่าช่วงที่ Panic ของนักลงทุนอาจไม่เลือกลงทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง
จากนี้รอติดตามการตอบโต้ของจีนที่มีโอกาสเกิดขึ้นเช่นกัน เพราะงวดก่อนหลังจากสหรัฐฯประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน จีนก็ประกาศขึ้นจากสหรัฐฯเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่จะต้องเผชิญจากนี้ก็คือการปรับลดประมาณการเศรษฐกิจทั้งโลกและกำไรบริษัทจดทะเบียนหรืออาจรวมไปถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ ล่าสุด Bloomberg Consensus ให้โอกาสที่จะเกิดภาวะถดถอยในสหรัฐฯราว 30% เพิ่มขึ้นจากช่วงต้นปีที่ 20% นอกจากนี้แล้วในช่วงที่ระหว่างแต่ละประเทศกำลังเดินเข้าเจรจากับสหรัฐฯ เชื่อว่าผู้ประกอบการทั้งโลกจะหยุดนิ่งไม่ลงทุน ไม่จ้างงาน เพื่อรอความชัดเจน กดดันเศรษฐกิจโลก
สำหรับในประเทศวานนี้ SET INDEX ปรับลงมา 4.5% รับแรงกดดันจากช่วงที่ตลาดหุ้นไทยปิดทำการในวันจันทร์โดยวันจันทร์หลายๆประเทศก็ปรับตัวลง สำหรับทีท่าของรัฐบาลไทยวานนี้ออกมาแถลงเกี่ยวกับการรับมือเรื่องการค้า ซึ่งจะเพิ่มการนำเข้าจากสหรัฐฯมากขึ้นเน้นสินค้าที่ประเทศไทยมีความต้องการใช้ในประเทศ เช่นสินค้าเกษตร เครื่องในสุกร รวมถึงสินค้าพลังงานเช่นแก๊สที่ต้นทุนต่ำ ยกเลิกมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีเพื่ออำนวยการค้าสหรัฐฯมากขึ้น ให้ความสำคัญกำการคัดถิ่นกำเนิดที่มาใช้ไทยเป็นแหล่งกำเนิดสินค้าสุดท้ายสนับสนุนเอกชนไทยไปลงทุนในสหรัฐฯ
โดยระบุว่าจะเตรียมไปเจรจาเร็ว ๆ นี้แต่ยังไม่ได้ระบุวันที่แน่นอน ปัจจัยข้างต้นมองเป็นกลางๆเพราะยังเชื่อว่าการเจรจาใช้ระยะเวลาและสหรัฐฯอยู่ในช่วงต่อรองกับหลาย ๆ ประเทศ วันนี้ประเมิน SET INDEX เสี่ยงปรับตัวลงในกรอบ 1050 - 1080 จุด รับแรงกดดันจากสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีจากจีนมากขึ้น ดังนั้นในเชิงกลยุทธ์การลงทุนยังไม่เร่งร้อนเข้าลงทุนแม้หุ้นไทยจะถูกก็ตามเพราะไม่มีปัจัยหนุนชัดเจนและยังเสี่ยงจะปรับลงได้อีกตามปัจจัยกดดันการค้าและการปรับประมาณการเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตามนักลงทุนระยะกลาง - ยาว หากประสงค์จะลงทุนอาจเลือกสะสมบางส่วนในหุ้นพื้นฐานดีที่เป็นผู้นำอุตสาหกรรม อาทิ ค้าปลีก BJC CRC CPALL ศูนย์การค้า CPN โรงพยาบาล BDMS
วิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บล.ลิเบอเรเตอร์ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกในระยะสั้นยังได้รับแรงกดดันจากการตอบโต้ภาษีนำเข้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ซึ่งล่าสุดทางสหรัฐฯ ยืนยันจะเดินหน้าแผนการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสูงถึง 104% สร้างแรงกดดันมากยิ่งขึ้น ในขณะที่ประเทศอีกกว่า 70 ประเทศ รวมถึงไทย มีการติดต่อเข้ามาที่สหรัฐฯ เพื่อต้องการเจรจาข้อตกลงเรื่องภาษี ดังนั้นคงต้องเกาะติดเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด รวมไปถึงการตอบโต้ระหว่างจีนกับสหรัฐฯว่าจะทวีความรุนแรงมากน้อยเพียงใด
ส่วนมุมมองล่าสุดของคณะกรรมการเฟด พบว่า แมรี เดลี่ ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโก มองว่าสหรัฐฯ อาจรอดูมาตรการภาษีที่ชัดเจนก่อนตัดสินใจปรับอัตราดอกเบี้ย ส่วน ออสตัน กูลส์บี ประธานเฟดสาขาชิคาโก ระบุว่ามาตรการภาษีที่ประกาศออกมานั้น รุนแรงกว่าที่เขาคาดไว้มาก ขณะที่ล่าสุดเครื่องมือ FED Watch Tool สะท้อนโอกาสลดดอกเบี้ยสหรัฐฯปีนี้อาจลดราว 3-4 ครั้ง ลงสู่ระดับ 3.25%-3.50%
ส่วน SET ยังโดนจิตวิทยาเชิงลบจากความเสี่ยงของมาตรการภาษีตอบโต้ ซึ่งยังคงต้องรอความชัดเจนของการเจรจา ท่ามกลางกระแสเงินทุนที่ยังคงไหลออก และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าแรง สู่ระดับ 34.8 บาทต่อดอลล่าร์ โดยค่าเงินบาทมีแนวต้านสำคัญรอบนี้ที่บริเวณ 35.15 บาท ดังนั้นในระยะสั้นอาจยังต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนมากยิ่งขึ้น โดยคาด SET วันนี้ ย่อสร้างฐานในกรอบ 1050-1100 จุด
หุ้นแนะนำวันนี้ CPALL แนวโน้มกำไรไตรมาส 1/68 คาดยังคงปรับตัวขึ้น y-y โดยได้แรงหนุนจาก SSSG คาดยังคงเป็นบวกได้ทั้งร้าน 7-Eleven +2%, CPAXT +1% และ Makro +1% ผสาน มาตรการกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐฯ เป็นปัจจัยหนุนเพิ่มเติม ขณะที่ปัจจุบันราคาหุ้นเทรดเพียง PE 15.3 เท่า เข้าสู่ระดับที่น่าสนใจในการทยอยสะสม ราคาเป้าหมาย 75 บาท