บัตรทอง 'มะเร็งรักษาทุกที่' ฟรี เพิ่มสิทธิประโยชน์'ยามะเร็ง'ตัวใหม่
ปี65บัตรทอง ดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็ง 2.5 แสนราย เพิ่มขึ้นเท่าตัวในช่วง 5 ปี ค่าใช้จ่ายรักษาอยู่ที่ 1.2 หมื่นล้านบาททั่วประเทศ มีรพ.รับส่งต่อเฉพาะด้านรังสีรักษา 39 แห่ง อยู่ระหว่างขยายเพิ่ม นโยบาย “มะเร็งรักษาทุกที่” ช่วยผู้ป่วยเข้าถึงบริการเพิ่ม เพิ่มยามะเร็งใหม่
มะเร็งรักษาทุกที่ (Cancer Anywhere) พญ.ลลิตยา กองคำ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ผู้ป่วยโรคมะเร็งในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง 30 บาท ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบว่าได้เพิ่มจำนวนมากขึ้น จากกว่า 1 แสนราย ปีที่ผ่านมาเพิ่มมาอยู่ที่ราว 2.5 แสนราย เพื่อให้ผู้ป่วยมะเร็งเข้าถึงการรักษาโดยเร็ว
บอร์ด สปสช. ได้มีมติให้ดำเนินนโยบาย โรคมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ได้ทั่วประเทศ (Cancer Anywhere) นอกจากเป็นการลดคิวการรอคอยรักษา ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัด การให้เคมีบำบัด และบริการรังสีรักษา ที่เปิดให้ผู้ป่วยไปรับบริการยังโรงพยาบาลที่มีศักยภาพที่มีคิวผู้ป่วยรอไม่มากแล้ว
ยังนำไปสู่การลงทุนที่เพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลเพื่อดูแลผู้ป่วยมะเร็ง โดยเฉพาะบริการรังสีรักษา ขณะนี้ทั่วประเทศมีโรงพยาบาลรับส่งต่อเฉพาะด้านรังสีรักษา 39 แห่ง แต่มีบางพื้นที่เขตสุขภาพมีเพียงแห่งเดียว โดยอยู่ระหว่างการขยายเพิ่มเติม
ส่วนงบประมาณจำนวนเม็ดเงินที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง ปัจจุบันอยู่ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7 จากงบประมาณบัตรทองทั้งหมด 1.7 แสนล้านบาท ทั้งมี แนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากจำนวนผู้ป่วยมะเร็งที่เพิ่มมากขึ้น การเข้าถึงการรักษาที่เพิ่มมากขึ้น ราคาค่าบริการที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการพัฒนาด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์และยารักษา
ในการควบคุมงบประมาณด้านโรคมะเร็งนั้น ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มีการขับเคลื่อนแผนการป้องกันและควบคุมโรคมะเร็งแห่งชาติ ซึ่งมีมะเร็งหลายชนิดที่ป้องกันได้ อาทิ มะเร็งปากมดลูกโดยการฉีดวัคซีนป้องกันให้กับเด็กในวัยเรียน
สปสช.กำหนดให้เป็นสิทธิประโยชน์บัตรทองแล้ว หากจัดบริการฉีดให้ครอบคลุมนักเรียนในโรงเรียนทั้งหมด ก็จะลดจำนวนผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกในอนาคตลงได้ เช่นเดียวกับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก มะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง มะเร็งช่องปาก และมะเร็งเต้านม หากตรวจพบในระยะเริ่มแรก นอกจากโอกาสของการรักษาให้หายแล้ว ค่าใช้จ่ายในการรักษายังต่ำกว่าในระยะที่โรคลุกลามแล้ว
ขณะที่กรณีผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายที่มาถึงที่สุดของรักษาแล้ว ก็มีการดูแลแบบประคับคอง (Palliative Care) โดยการตัดสินใจร่วมของผู้ป่วยและญาติเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี โดยการดูแลจะใช้งบประมาณไม่มาก เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาในโรงพยาบาล
ส่วนกรณีของการใช้ยามะเร็งแบบมุ่งเป้า (Targeted therapy) นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. มีนโยบายให้นำรายการยามุ่งเป้าเข้ามาในระบบเพื่อดูแลผู้ป่วยมะเร็ง โดยในระบบบัตรทองจะมีผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งที่ให้คำแนะนำการรักษา
ผู้ป่วยมะเร็งจะได้รับยาตามโปรโตคอล ขณะที่ยามะเร็งรายการใหม่ๆ ก็จะถูกนำมาบรรจุเป็นสิทธิประโยชน์มากขึ้น โดยกรณียามะเร็งที่มีราคาแพงก็จะเข้าสู่กลไกต่อรองราคายา ซึ่งอาจทำให้ราคายามะเร็งลดลงครึ่งหนึ่งได้
ในการรักษาโรคมะเร็ง มักมีการผลิตยาใหม่ออกมาให้กับผู้ป่วยและมีราคาที่แพงมาก ในกรณีที่ยาได้บรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติแล้ว สปสช.จะมีกลไกต่อรองราคายา ด้วยจำนวนผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องรับยามีจำนวนมาก ทำให้ สปสข. สามารถต่อรองราคายาลงมาได้มาก ที่ได้บรรจุเป็นสิทธิประโยชน์บัตรทองไปแล้วอาทิ
- ยาเคปไซตาบีน ที่ใช้ในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร
- ยาอ๊อกซาลิ พลาติน ชนิดฉีด เป็นยารักษาโรคมะเร็งลำไส้ และมะเร็งกระเพาะอาหาร
- ยาอิริโนทีแคน HCL ชนิดฉีด เป็นยารักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น
"ยามุ่งเป้าขณะนี้ มีบางรายการที่ผู้ป่วยสิทธิสวัสดิการข้าราชการเบิกได้ แต่บัตรทองยังไม่ได้บรรจุเป็นสิทธิประโยชน์ โดยยายังอยู่ในกระบวนการศึกษาความคุ้มค่าเมื่อเปรียบเทียบกับประสิทธิผลของยาและราคา รวมถึงจำนวนผู้ป่วยมะเร็งในระบบที่ต้องใช้ยาเหล่านี้ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการต่อรองราคา"พญ.ลลิตยา กล่าว
ทั้งนี้จะต้องเข้าใจด้วยว่า บัตรทองเป็นระบบหลักประกันสุขภาพที่ดูแลคนไทยเกือบทั้งประเทศ ครอบคลุมการดูแลทุกโรค มีเป้าหมายสำคัญคือลดภาระประชาชนในด้านสุขภาพ ไม่ให้ล้มละลายจากการเจ็บป่วย แต่การใช้งบประมาณในสิทธิประโยชน์ต่างๆ จะต้องทำให้เกิดความคุ้มค่าจริงๆ ทั้งกับผู้ป่วย และระบบในภาพรวม รวมถึงประเทศชาติด้วย
“งบประมาณบัตรทอง ยังอยู่ต่ำกว่าที่ 4% ของจีดีพีประเทศ ที่ผ่านมา สปสช. พยายามควบคุมงบประมาณโดยใช้การบริหารจัดการ ไม่ว่าจะเป็นการใช้กลไกต่อรองราคา การเน้นป้องกันและคัดกรองโรค การนำเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้เพื่อลดค่าใช้จ่าย ซึ่งส่วนต่างที่ประหยัดงบประมาณได้นี้ จะนำมาขยายในสิทธิประโยชน์ใหม่ต่อไป” รองเลขาธิการ สปสช. กล่าว