นวัตกรรมช่วยได้ "ผมร่วม ผมบาง" ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
ตลาดปลูกผมของไทยมีแนวโน้มเติบโตปัจจุบันภาพรวมตลาด Hair Care มีมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท โดยสัดส่วนตลาดปลูกผมราว 1,000 ล้านบาท ทั้งนี้ การปลูกผมต้องใช้ความชำนาญ และเทคนิคต่างๆ เพื่อความเป็นธรรมชาติมากที่สุด
"การปลูกผม" ไม่ใช่แค่การแก้ไขปัญหาผมร่วง ศีรษะบางจากฮอร์โมน และกรรมพันธุ์ เท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึงความสวยงามอีกด้วยได้รับความนิยมมากขึ้น โดยสัดส่วนผู้ชายกว่า 65% และผู้หญิง 35% รวมถึงช่วงอายุที่น้อยลงอยู่ในช่วงวัยนักศึกษา เพราะคนส่วนใหญ่หันมาดูแลสุขภาพ และบุคลิกภาพ
“พญ.อรอุมา พันธ์อภิวัฒน์” แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมปลูกผมเจ้าของ “ดร.อร เมดิคอล แฮร์ เซ็นเตอร์” (Dr.Orn Medical Hair Center) หนึ่งในสถาบันบริการดูแลเส้นผมและหนังศีรษะ อธิบายว่า ตลอด 9 ปีของการเปิดคลินิก ปลูกผมคนไข้มากกว่า 9,000 เคส มีผู้ใช้บริการที่คลินิกทั้งปลูกผมและบริการอื่นๆ เฉลี่ย 2,400 รายต่อเดือน เป็นผู้ป่วยปลูกผมราว 2-3 เคสต่อวัน ฐานลูกค้าทั้งหมดราว 30,000 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ชายกว่า 70% ซึ่งเริ่มดูแลตัวเองมากขึ้น มีปัญหาศีรษะบางจากฮอร์โมนเพศและกรรมพันธุ์ โดยแบ่งเฉลี่ยตามกลุ่มอายุ ช่วง 20-35 ปี มีประมาณ 25% อายุ 35-50 ปี ประมาณ 50% และช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป ประมาณ 25%
การดูแลเส้นผมไม่ใช่แค่การปลูกผมเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีตัวเลือกอื่นที่สามารถช่วยได้คนไข้ได้ ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกผมมีทั้งสิ้นราว 10 คน คนไข้จึงต้องผ่านการประเมินก่อนทำการรักษาโดยมีบริการ 3 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนแรกการป้องกัน (Prevention) ที่ให้บริการลูกค้าตั้งแต่ขั้นตอนแรก โดยเป็นการคัดกรองแบบละเอียด เพื่อวางแนวทางการรักษาต่อไป
ขั้นตอนต่อมา คือ การทำทรีทเม้นท์ (Treatment) เป็นขั้นตอนของการดูแลรักษารากผม โดยผ่านการพิจารณาจากทีมแพทย์ว่าคนไข้ควรได้รับการรักษาแบบใด ขึ้นอยู่กับปริมาณรากผมของคนไข้ หากยังคงมีรากผมจะเน้นรักษาด้วยยากิน ทายา ฉายแสงเลเซอร์ หรือทำทรีทเมนต์ เพื่อเพิ่มปริมาณเส้นผมและทำให้เส้นผมแข็งแรง และหากมีรากผมน้อยมากหรือไม่มีเลยก็จะแนะนำเป็น ขั้นตอนการปลูกผม (Restoration) ด้วยเทคนิคต่างๆ โดยแนวทางการรักษานี้จะขึ้นอยู่กับการตกลงร่วมกันกับคนไข้ด้วย
นอกจากนี้ยังตั้งเป้าหมายเป็น Medical Hair Center ที่ให้บริการในระดับเอเชีย ด้วยการลงทุนกว่า 300 ล้านบาท สร้าง “Dr.Orn Medical Hair Center” สถาบันดูแลเส้นผมและหนังศีรษะแบบครบวงจรในระดับเอเชีย คาดว่าจะเปิดให้บริการในช่วงเดือนเมษายน ปี 2564 เนื่องจากที่ผ่านมา ได้รับการยอมรับจากลูกค้าชาวต่างชาติทั้งจากประเทศจีน, ฮ่องกง, สิงคโปร์, พม่า, ลาว, เวียดนาม, ออสเตรเลีย รวมทั้งตะวันออกกลางและสหรัฐอเมริกา โดยคิดเป็น 20% จากลูกค้าทั้งหมด
ทั้งนี้ ตลาดเส้นผมในเอเชียโดยเฉพาะในประเทศจีน มีการเติบโตและมีโอกาสสูง โดยองค์กรอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า คนรุ่นใหม่ในจีนกำลังประสบกับปัญหาผมร่วงและผมบางอย่างหนัก และผลการวิจัยของบริษัทเทคโนโลยีสุขภาพในเครือ Alibaba ชี้ว่า ปัญหาผมบางเริ่มเป็นปัญหามากขึ้นในกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัย ซึ่งสาเหตุมาจากความเครียดจากการเรียนและอาการนอนไม่หลับ จึงหันมาใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผมในแต่ละปีเพิ่มมากขึ้น 30%
และคาดการณ์ว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า ธุรกิจบำรุงและปลูกผมในจีนจะเติบโตถึง 260% จึงเป็นโอกาสที่ประเทศไทยจะสามารถดึงกลุ่มลูกค้าเหล่านี้จากในประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมผลักดันแบรนด์ให้กลายเป็น Top of Mind ด้านการบริการดูแลเส้นผมและหนังศีรษะแบบครบวงจรทั้งในประเทศไทยและในระดับเอเชียต่อไป
นอกจากนี้ ยังร่วมกับสถาบันการศึกษาทำวิจัยและการพัฒนา (Research & Development) ล่าสุดได้จับมือร่วมกับ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง คิดค้นเครื่องเจาะผมและคิดค้นเตียงผ่าตัด ที่สามารถรองรับสรีระของคนไข้จะได้รู้สึกสบาย ไม่ปวดเมื่อย ขณะเข้ารับการปลูกผมซึ่งใช้เวลานาน
รวมถึงก่อตั้ง “มูลนิธิรักษ์ผม” ที่ช่วยเหลือผู้พิการทางด้านเส้นผมและหนังศีรษะ ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ให้สามารถเข้ามารักษาฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เปิดโอกาสให้การช่วยเหลือแก่ผู้ด้อยโอกาสที่ยากต่อการเข้ารับการรักษา โดยเน้นเคสที่เป็นการรักษาเป็นหลักราว 8 – 9 เคสต่อปี
ทั้งนี้หากมีการเปิดประเทศให้กลุ่ม Medical Tourism เข้ามา “พญ.อรอุมา” กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นเป้าหมายของนักท่องเที่ยว หากรัฐบาลให้การสนับสนุนถือเป็นเรื่องดี เนื่องจากการปลูกผมทำวันเดียวและสามารถเที่ยวต่อได้ จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยด้วย ซึ่งตามแผน Dr.Orn Medical Hair Center) จะมีที่พักให้สามารถพักได้ ไปเที่ยวต่อได้อีกด้วย
- วิธีการปลูกผม
การปลูกผมทางการแพทย์แบ่งได้ 2 วิธี คือ Follicular Unit Extraction (FUE) เป็นการปลูกผมถาวรแบบย้ายเซลล์ผมโดยไม่ต้องตัดหนังศีรษะออกมาเป็นชิ้นยาว ไม่มีแผลเย็บเหมือนวิธีทั่วไป (strip FUT) โดยวิธีนี้จะใช้หัวเจาะขนาดเล็ก 0.8-1.2 มม. เจาะลงไปรอบๆ กอผมลึกลงไปถึงรากผมด้านล่าง จากนั้นแต่ละกอผมจะถูกดึงออกมาจากหนังศีรษะ ซึ่งเป็นเทคนิคมาตรฐานสากลที่ใช้ทั่วโลก ได้รับการยอมรับว่าเป็นเทคนิคที่ให้ผลเรื่องความสวยงาม และดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด
วิธี FUE ยังขึ้นอยู่กับเทคนิคเฉพาะของแต่ละคลินิก ขณะเดียวกัน ยังมีเทคนิคย่อย เช่น คนไข้ไม่อยากตัดผมด้านหลัง หรือ ปลูกแล้วอยากให้ผมยาวเลย โดยไม่ต้องไถผมด้านหลัง สามารถย้ายผมมาปลูกได้เลยโดยไม่ต้องตัด พักฟื้นเพียง 1-2 วัน
อีกวิธีคือ Follicular Unit Transplantation (FUT) เป็นวิธีการผ่าตัดเล็กแผลยาวประมาณ 7 – 8 เซนติเมตร บริเวณหลังศีรษะ ซึ่งเป็นบริเวณที่เซลล์รากผมแข็งแรง จากนั้นเย็บปิด นำไปปลูกใหม่ในบริเวณที่เกิดปัญหา ใช้เวลา 2 สัปดาห์ในการตัดไหม ซึ่งเป็นวิธีที่เจ็บกว่า แต่มีข้อดีคือ สำหรับผู้ป่วยที่ผมด้านหลังความหนาแน่นน้อย
การเตรียมพร้อมก่อนการผ่าตัด ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ งดชากาแฟ 2 วันก่อนการผ่าตัด จะเห็นผลเต็มที่ราว 1 ปี ปลูกเพียงครั้งเดียวอยู่ได้ตลอดชีวิต ผลข้างเคียง หลังทำอาจจะรู้สึกระบม 3-4 วัน อาการชา มักจะเจอในเคสผ่าตัดเป็นหลัก เพราะมีการกรีดทำลายเส้นประสาท และอาการอื่นหลังปลูก เช่น ผมร่วง จึงมีการนำนวัตกรรมการใช้สเต็มเซลล์ร่วมด้วย