ฟิตร่างกาย ลดภาวะ"อ้วนลงพุง"และเบาหวาน
ต้องยอมรับว่า ช่วงล็อคดาวน์คนส่วนใหญ่อยู่บ้านเยอะ จึงไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย และกินอาหารโดยไม่ยั้งคิด นำไปสู่ภาวะอ้วนลงพุง
ในช่วงการระบาดของโควิดที่ผ่านมา มีสถิติคนที่เป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้น 2 – 3 เท่า แม้จะผ่อนคลายล็อกดาวน์แล้ว ก็ต้องไม่คลายความฟิตเพื่อสุขภาพที่ดี
พญ.ชนันภรณ์ วิพุธศิริ อายุรแพทย์ต่อมไร้ท่อและเมตะบอลิสซึม ศูนย์เบาหวาน ไทรอยด์ และต่อมไร้ท่อ โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า ช่วงล็อคดาวน์ทำให้หลายคนอยู่แต่บ้าน ไม่ได้ออกกำลังกายและควบคุมอาหารการกิน ทำให้มีความเสี่ยงมากมายในการเกิดโรคต่าง ๆ เช่น
1.เบาหวาน
การทานอาหารหรือผลไม้ที่ให้ความหวานในปริมาณมากโดยไม่รู้ตัวและการออกกำลังกายที่น้อยลง โดยในช่วงแรกอาจเป็นเบาหวานแฝง คือมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ มีความเสี่ยงสูง
แต่ยังไม่เป็นเบาหวาน ต้องรีบปรับพฤติกรรม โดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัดเพื่อเป็นการระวังและป้องกันการเกิดโรคเบาหวานได้
2. ความดันโลหิตสูง
การที่ความดันเลือดสูงมากกว่าปกติ อาจไม่แสดงอาการแต่นำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้ หลายคนทานอาหารรสเค็มมากขึ้น รวมถึงการปล่อยให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี
ถ้าปล่อยให้น้ำหนักขึ้นครั้งละ 3 – 5 กิโลกรัมอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้ความยืดหยุ่นของเส้นเลือดลดลง จนเป็นความดันโลหิตสูงได้
(ปรับสมดุลร่างกาย เลือกกินผักผลไม้แทนอาหารหวาน )
3.อ้วนลงพุง
เกิดขึ้นได้กับทุกคน เมื่อมีการรับประทานอาหารที่มีไขมันและความหวานเพิ่มขึ้น เช่น เบเกอรี ขนมหวาน กะทิ หนังไก่ มันหมู
แล้วไม่มีมีการออกกำลังกายหรือออกกำลังกายน้อยลง ทำให้แคลอรี่ที่ได้รับมากกว่าที่ใช้ จนเกิดภาวะอ้วนลงพุง ซึ่งอาจนำไปสู่โรคแทรกซ้อนและโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่น ๆ
4.ไขมันพอกตับ
คือ ภาวะที่การสะสมของไขมันซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปของไขมันไตรกลีเซอไรด์และเปลี่ยนเป็นกรดไขมันไปสะสมที่ตับ มักจะไม่แสดงอาการชัดเจน การกินของหวาน ๆ มัน ๆ ของทอด หรือออกกำลังกายลดลง ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสไขมันพอกตับ ส่วนใหญ่ตรวจเจอเมื่อตรวจสุขภาพประจำปี
ดังนั้นควรออกกำลังกายเพื่อรักษาระบบเผาผลาญให้ทำงานได้อย่างเป็นปกติ เช่น
-การเดินเป็นวงกลมหรือเลขแปดภายในบ้าน
-การเปิดเพลงเต้นแอโรบิคอย่างน้อยวันละ 30 นาที
-การวิ่ง ปั่นจักรยาน จะช่วยเผาผลาญพลังงานได้เพิ่มขึ้น
(เลี่ยงกินของหวาน ควรเลือกกินผลไม้ประมาณ 1 – 2 ส่วนต่อมื้อ )
ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละ 30 นาที นอกจากนี้ควรดื่มน้ำให้มากในแต่ละวัน เลือกรับประทานโปรตีนที่ดีต่อสุขภาพ ได้แก่ อกไก่ เนื้อปลา เต้าหู้ เป็นต้น
และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 7 - 8 ชั่วโมง ออกกำลังกายระดับปานกลาง 5 ครั้งต่อสัปดาห์ เช่น เดิน วิ่งเหยาะ ๆ กระโดดเชือก ฯลฯ หากสามารถทำท่าสควอชหรือแพลงก์ได้ ควรทำ 2 ครั้งต่อสัปดาห์
ท่าสควอช ทำโดยกางขาสองข้างให้ระยะห่างเท่าช่วงไหล่ ย่อเข่าลงไม่ให้หัวเข่าเลยปลายเท้า มุมเข่า 90 องศา ยื่นแขนมาข้างหน้าให้ทรงตัวได้แล้วลุกขึ้น เกร็งหน้าท้อง ยืดตัวขึ้นนับเป็น 1 ครั้ง
ท่าแพลงก์ ทำโดยตั้งข้อศอกให้ชันกับพื้น ยกลำตัวเป็นเส้นตรงขนานกับพื้น ค้างไว้ 30 วินาที ผู้สูงอายุแนะนำให้เดินอย่างน้อย 15 นาที เช้า - เย็น แล้วค่อย ๆ เพิ่มเป็น 25 - 30 นาที
ผู้ป่วยเบาหวาน ควรลดความเสี่ยงอย่างไร
-ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง
-เลี่ยงการทานของหวาน รับประทานผลไม้ได้ประมาณ 1 – 2 ส่วนต่อมื้อ
-ดื่มน้ำเปล่าให้ได้ประมาณ 3 ลิตรหรือ 12 แก้วต่อวัน
-ควบคุมน้ำหนักและรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติ
-ผู้ป่วยเบาหวานจำเป็นอย่างยิ่งในการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID - 19 เพื่อลดความรุนแรงหากได้รับเชื้อ
-ผู้ป่วยเบาหวานที่หายจาก COVID - 19 สามารถออกกำลังกายได้หลังจากหายแล้ว 4 - 6 สัปดาห์
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์เบาหวาน ไทรอยด์ และต่อมไร้ท่อ รพ.กรุงเทพ โทร.1719