ผลวิจัย"วัคซีนสูตรไขว้”ศิริราช : องค์การอนามัยโลก เผยแพร่ทั่วโลก

ผลวิจัย"วัคซีนสูตรไขว้”ศิริราช : องค์การอนามัยโลก เผยแพร่ทั่วโลก

ผลงานวิจัย"วัคซีนสูตรไขว้"ของ”ศิริราช”ที่ทดลองมาหลายเดือน  เป็นหนึ่งในงานวิจัยที่"องค์การอนามัยโลก"(WHO) ใช้อ้างอิงและเผยแพร่ไปทั่วโลก เพื่อประโยชน์ต่อประเทศอื่นๆ ที่ใช้สูตรไขว้คล้ายไทย

เมื่อไม่นานนี้องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ลงพิมพ์ Interim recommendations for heterologous COVID-19 vaccine schedules ใน Interim guidance โดยเผยคำแนะนำเบื้องต้นในการฉีดวัคซีนโควิด-19 แบบต่างชนิดกัน หรือวัคซีนสูตรไขว้ ทั้งการใช้วัคซีนต่างชนิดกันในเข็มที่สอง หรือวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันในเข็มที่สาม โดยอ้างอิงเอกสารการศึกษาจากทั่วโลก 
รวมถึงข้อมูลการศึกษาวิจัยของประเทศไทย ในการใช้วัคซีนเชื้อตาย ตามด้วยไวรัสเวกเตอร์ หรือ mRNA เข้าไปด้วย

หนึ่งในข้อมูลดังกล่าว มาจาก ผลการศึกษาวิจัยในโครงการการศึกษาความปลอดภัยและการตอบสนองภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 กระตุ้นเข็มที่ 3 : Booster Study โดยศูนย์วิจัยคลินิก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล นำโดย รศ.พญ.ณสิกาญจน์ อังคเศกวินัย, ผศ.ดร.นพ.จตุรงค์ เสวตานนท์, ผศ.พญ.ศันสนีย์ เสนะวงษ์, ผศ.ดร.พญ.สุวิมล นิยมในธรรม, ศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ

และผู้วิจัยจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ดร.สมปอง ทรัพย์สุทธิภาสน์, ดร.สภาพร ภูมิอมร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
 

งานวิจัยวัคซีนสูตรไขว้ศิริราช
ศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยคลินิก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล บอกว่า  งานวิจัยวัคซีนโควิด-19 ซึ่งเป็นสูตรไขว้ที่ทำการศึกษาในประเทศไทย ทำให้เห็นตัวอย่างของการใช้วัคซีนที่หลากหลาย เป็นตัวอย่างให้กับอีกหลายประเทศที่ไม่ได้มีเฉพาะวัคซีน mRNA เหมือนในยุโรป หรืออเมริกา

สำหรับการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับวัคซีนโควิดในช่วงแรกจากศูนย์วิจัยคลินิกศิริราช เป็นการศึกษาในอาสาสมัครบุคลากรทางการแพทย์ ที่ได้รับการฉีดวัคซีนซิโนแวค 2 เข็ม และวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า 2 เข็ม

พบว่าหลังฉีดวัคซีนซิโนแวค 2 เข็ม มีภูมิคุ้มกันขึ้นสูง แต่น้อยกว่าวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็ม โดยเฉพาะเมื่อเทียบการทดสอบการต้านไวรัสเดลต้า ซึ่งสอดคล้อง กับรายงานการติดเชื้อสายพันธุ์เดลต้าในผู้ที่เคยฉีดซิโนแวค 2 เข็มมีจำนวนมาก 

ผลวิจัย\"วัคซีนสูตรไขว้”ศิริราช : องค์การอนามัยโลก เผยแพร่ทั่วโลก

และแม้แต่ในผู้ที่ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซเนก้าสองเข็ม ก็มีระดับภูมิคุ้มกันที่ลดลงมากหลังจากเข็มสุดท้าย 3 เดือน

สะท้อนให้เห็นความจำเป็นในการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 จึงเป็นที่มาของการศึกษาใช้วัคซีนชนิดต่างๆ มาฉีดกระตุ้นเป็นเข็มที่ 3 ซึ่งก็พบว่า หากใช้วัคซีนต่างชนิดจะกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีกว่า  
นอกจากนี้เรายังศึกษาเพื่อเพิ่มศักยภาพของการฉีดวัคซีนสองเข็มแรก ด้วยการฉีดสลับเข็มไขว้ในเข็มที่หนึ่งและสองด้วยวัคซีนที่มีในประเทศ

ระหว่างวัคซีนเชื้อตาย ตามด้วยไวรัสเวกเตอร์ (ซิโนแวค + แอสตร้าเซนเนก้า), วัคซีนเชื้อตาย ตามด้วย mRNA (ซิโนแวค + ไฟเซอร์), ไวรัสเวกเตอร์ตามด้วย mRNA (แอสตร้าเซนเนก้า + ไฟเซอร์) 
และไวรัสเวกเตอร์ตามด้วยวัคซีนเชื้อตาย (แอสตร้าเซนเนก้า +ซิโนแวค) ซึ่งการศึกษาของเราพบว่าการใช้วัคซีนต่างชนิดสามารถกระตุ้นระดับภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าการใช้วัคซีนเชื้อตายเพียงอย่างเดียวฉีดทั้งสองเข็ม 

ในขณะที่ผลของการฉีดวัคซีนชนิดไวรัสเวกเตอร์ ตามด้วยวัคซีน mRNA สามารถกระตุ้นระดับภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าการใช้วัคซีนชนิดไวรัสเวกเตอร์ 2 เข็มแต่การใช้วัคซีนเชื้อตายหลังจากการฉีดวัคซีนชนิดไวรัสเวกเตอร์ ทำให้สร้างภูมิคุ้มกันได้ไม่สูง

“เมื่อติดตามไป 12 สัปดาห์ พบว่าไม่ว่าจะฉีดวัคซีนชนิดใด ก็มีภูมิคุ้มกันที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นการฉีดวัคซีนกระตุ้นด้วยเข็มที่ 3 จึงเป็นสิ่งจำเป็น 
การที่จะได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 เป็นวัคซีนชนิดใด และควรฉีดกระตุ้นเมื่อไหร่ก็มีความแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดของวัคซีนที่ได้รับในเข็มแรกและเข็มที่ 2 

สำหรับในผู้ที่ฉีดซิโนแวคแล้วสองเข็ม พบว่าถ้าใช้แอสตร้าเซนเนก้าหรือไฟเซอร์ฉีดเป็นเข็ม 3 จะกระตุ้นภูมิได้สูงกว่าการใช้วัคซีนเชื้อตายเหมือนกัน (ซึ่งในการศึกษาเราใช้วัคซีนซิโนฟาร์ม)
ผลวิจัย\"วัคซีนสูตรไขว้”ศิริราช : องค์การอนามัยโลก เผยแพร่ทั่วโลก

คำแนะนำวัคซีนสูตรไขว้เข็ม 3  
รศ.พญ.ณสิกาญจน์ อังคเศกวินัย  สาขาวิชาโรคติดเชื้อและอายุรศาสตร์เขตร้อน ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

ในฐานะหัวหน้าทีมวิจัยโครงการการศึกษาความปลอดภัยและการตอบสนองภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 กระตุ้นเข็มที่ 3 : Booster Study กล่าวว่า คำแนะนำการใช้วัคซีนสูตรไขว้ในเข็มที่สามที่องค์การอนามัยโลก อ้างอิงการศึกษาโดยศิริราชนั้นเป็นโครงการที่เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม จนกระทั่งถึงธันวาคม 2564 
 ซึ่งเป็นช่วงการระบาดของเชื้อกลายพันธุ์เดลต้าในประเทศไทย ทำให้มีความจำเป็นที่ต้องฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ที่เคยฉีดวัคซีนซิโนแวคมาแล้ว 2 เข็ม ด้วยวัคซีนที่หลากหลายชนิด

เนื่องจากขณะนั้นเริ่มมีข้อมูลแล้วว่า ชนิดวัคซีนที่ต่างไปจากวัคซีนเดิมที่เคยได้รับน่าจะมีประสิทธิภาพหรือระดับภูมิคุ้มกันที่ขึ้นได้ดีกว่า
 จึงได้ดำเนินการวิจัยร่วมกับศูนย์วิจัยคลินิกศิริราช ทำการศึกษาโดยแบ่งการฉีดกระตุ้นเข็มที่ 3 ออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ แอสตร้าเซเนก้า ซิโนฟาร์ม ไฟเซอร์เต็มโดส และไฟเซอร์ครึ่งโดส
“เราได้ทำการตรวจภูมิต้านทานหลังจากอาสาสมัครรับวัคซีนกระตุ้นเข็มที่สาม 2 สัปดาห์ โดยตรวจในสองรูปแบบ คือ ภูมิต้านทานที่วัดระดับแอนติบอดี้ และภูมิต้านทานที่เป็นแบบเซลล์ พบว่าผลการตรวจทั้งสองแบบเป็นไปในทิศทางเดียวกัน 

หากฉีดกระตุ้นด้วยวัคซีนไฟเซอร์ ทั้งที่เป็นเข็มเต็มโดสและครึ่งโดสนั้น มีระดับภูมิต้านทานที่สูงขึ้นมากที่สุด

สำหรับการฉีดกระตุ้นด้วยวัคซีนแอสตร้าเซเนก้าต่อจากการฉีดวัคซีน ซิโนแวค 2 เข็ม พบว่ามีระดับภูมิต้านทานสูงขึ้นกว่าการใช้วัคซีนเชื้อตายซิโนฟาร์มเป็นเข็มกระตุ้น “
 
ภูมิคุ้มกันวัคซีนสูตรไขว้

รศ.พญ.ณสิกาญจน์ ยกตัวอย่าง ในอาสาสมัครที่ฉีดวัคซีนซิโนแวค 2 เข็มไปแล้ว 2 สัปดาห์ มีภูมิคุ้มกันเฉลี่ยอยู่ที่ 230 BAU/mL เมื่อเวลาผ่านไป 12 สัปดาห์ ภูมิคุ้มกันลดลงเหลือ 33 BAU/mL 
และเมื่อฉีดกระตุ้นเข็มที่ 3 ผ่านไป 2 สัปดาห์ ด้วยวัคซีน 4 กลุ่ม ผลการศึกษาพบว่า กระตุ้นด้วยวัคซีนไฟเซอร์เต็มโดสภูมิคุ้มกันอยู่ที่ 5,152 BAU/mL, ไฟเซอร์ครึ่งโดส ภูมิคุ้มกันอยู่ที่ 3,981 BAU/mL, แอสตร้าเซเนก้าอยู่ที่ 1,358 BAU/mL ขณะที่ซิโนฟาร์ม อยู่ที่ 155 BAU/mL

ส่วนในผู้ที่เคยได้รับวัคซีนแอสตร้ามาก่อน 2 เข็ม หากฉีดกระตุ้นด้วยแอสตร้าเซเนก้าเป็นเข็มที่ 3 ได้ระดับภูมิคุ้มกันเพียง 246 BAU/mL และกระตุ้นด้วยซิโนฟาร์ม ได้ภูมิอยู่ที่ 129 BAU/mL

แต่หากใช้วัคซีนไฟเซอร์เต็มโดส จะได้ระดับอยู่ที่  2,377 BAU/mL และไฟเซอร์ครึ่งโดสจะได้ระดับที่1,962 BAU/mL ซึ่งนับว่าสูงกว่ามาก 

“ทีมวิจัยจึงเสนอคำแนะนำไปยังกระทรวงสาธารณสุข ประเทศไทย ถึงการฉีดกระตุ้นเข็มสามในสูตรต่างๆ พร้อมลงตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารล่วงหน้าแบบ pre-print ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้เห็นผลงานชิ้นนี้ จึงหยิบไปอ้างอิงเรื่องการใช้วัคซีนต่างชนิดมาเป็นเข็มที่ 3 โดยพบว่าภูมิคุ้มกันที่เพิ่มสูงขึ้นยังปกป้องสายพันธุ์กลายพันธุ์ทั้งเดลตาและเบตาได้ดีอีกด้วย” หัวหน้าทีมวิจัย โครงการ Booster Study กล่าว
นอกจากนี้ ยังได้ติดตามผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่สาม และตรวจระดับภูมิคุ้มกันเมื่อเวลาผ่านไปเป็นระยะเวลานานประมาณ 4-5 เดือนหลังเข็มที่สาม

พบว่าระดับภูมิคุ้มกันตกลงมากประมาณ 5-10 เท่าเมื่อเทียบกับหลังฉีดที่ 2 สัปดาห์ ซึ่งทำให้เราทราบว่า เมื่อมีเชื้อกลายพันธุ์ระบาด อาจจะต้องเริ่มให้มีการฉีดกระตุ้นเข็มที่ 4 ในบุคลากรด่านหน้าและกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับซิโนแวค- ซิโนแวค - แอสตร้า หลังเข็มสุดท้ายนานกว่า 3 เดือน"

ผลวิจัย\"วัคซีนสูตรไขว้”ศิริราช : องค์การอนามัยโลก เผยแพร่ทั่วโลก วัคซีนสูตรไขว้ สร้างภูมิคุ้มกันดีขึ้น 
ผศ.ดร.พญ.สุวิมล  นิยมในธรรม รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยคลินิกศิริราช กล่าวเพิ่มเติมว่า การเปลี่ยนชนิดวัคซีนที่หลากชนิดหลายรูปแบบจะทำให้เซลล์ภูมิคุ้มกันของร่างกายเก่งขึ้น
 อย่างไรก็ดี คุณสมบัติของวัคซีนก็มีความสำคัญ

เนื่องจากคณะวิจัยพบว่า หากกระตุ้นเข็มที่สามด้วยวัคซีนเชื้อตาย ซึ่งในการศึกษานี้ใช้วัคซีนซิโนฟาร์ม ที่ผลการศึกษาพบว่าภูมิคุ้มกันไม่เพิ่มขึ้น หรือผู้ที่ฉีดวัคซีนเข็มสองด้วยไวรัสเวกเตอร์ แล้วกระตุ้นเข็มที่สามด้วยเชื้อตาย ภูมิคุ้มกันก็ไม่เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน 
รวมถึง การฉีดไวรัสเวกเตอร์ทั้งสามเข็ม ระดับภูมิคุ้มกันก็เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นอกจากนี้ การศึกษาของเรายังพบว่า การฉีดกระตุ้นด้วยวัคซีนไฟเซอร์ซึ่งเป็นสูตรไขว้เข็มที่สามนี้ แม้ใช้เพียงครึ่งโดสก็ให้ผลดีมาก
“ดังนั้นการเลือกเข็มกระตุ้นวัคซีนโควิด -19 แนะนำให้ผู้ที่ฉีดซิโนแวคหรือซิโนฟาร์มในสองเข็มแรก สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันด้วยไวรัสเวกเตอร์หรือ mRNA (ไฟเซอร์หรือโมเดนน่า) ก็ได้

แต่สำหรับผู้ที่รับแอสตร้าเซเนก้ามาแล้ว 2 เข็ม คำแนะนำสำหรับเข็มที่ 3 ต้องเป็น mRNA เท่านั้น เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้เพิ่มสูงเพียงพอที่จะป้องกันเชื้อกลายพันธุ์ได้”

รีบฉีดวัคซีนโดยด่วน

ศ.พญ.กุลกัญญา แนะนำเพิ่มว่า ให้รีบไปรับวัคซีนโดยด่วนที่สุดโดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเข็มที่หนึ่ง หรือสอง เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและเกิดอาการรุนแรง โดยเฉพาะกลุ่มประชาชนกลุ่มเสี่ยง ที่เรียกว่า กลุ่ม “608”

อันประกอบไปด้วยประชากร 3 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป, กลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว 7 โรค คือ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง, โรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคไตวายเรื้อรัง, โรคหลอดเลือดสมอง, โรคอ้วน, โรคมะเร็ง และโรคเบาหวาน และสุดท้ายกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป
“ถ้าเราฉีดวัคซีนครบสองเข็มทั่วประเทศแล้ว ประชาชนก็จะมีภูมิคุ้มกันมากเพียงพอ ตอนนี้เรามีประชาชนประมาณ 30% ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน หรือฉีดไปแล้วเพียงหนึ่งเข็ม ซึ่งน่าเป็นห่วงมาก 
ดังนั้นต้องเร่งระดมฉีดวัคซีนเข็มหนึ่งเข็มสองให้ได้มากที่สุด ซึ่งการฉีดสูตรไขว้ในเข็มที่สองทำให้ได้ภูมิที่สูง ส่วนคนที่รับวัคซีนเข็มสองนานเกิน 3 เดือน แนะนำให้รับเข็มกระตุ้นเช่นเดียวกัน ”
ติดตามข่าวสาร ศูนย์วิจัยคลินิก SICRES คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ที่ www.sicres.org หรือ   facebook.com/sicresofficial