“ไข้เลือดออก” โรคเขตร้อน ที่ร้ายแรงจากพิษไข้
สำหรับประเทศไทย"โรคเขตร้อน" 3 โรคที่สำคัญ ได้แก่ "ไข้เลือดออก" มาลาเรีย และวัณโรค โดยเฉพาะไข้เลือดออก ยังไม่มียารักษาโดยตรง เป็นการรักษาตามอาการ ถ้าอาการหนักก็เสียชีวิตได้
ผ่านพ้นไปได้ไม่นาน“วันโรคเขตร้อนที่ถูกละเลย” (World NTD Day)ในวันที่ 30 มกราคมของทุกปี เป็นวันสำคัญของโลกอีกวันหนึ่งที่ชวนให้คนหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพ
โดยเฉพาะประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเขตร้อนและได้รับผลกระทบจากโรคเหล่านี้โดยตรง และไข้เลือดออกเป็นเป้าหมายแรกที่ประเทศไทยจะทำให้สำเร็จในการดูแลโรคเขตร้อนที่ถูกละเลย
วันโรคเขตร้อนที่ถูกละเลยหรือ World Neglected Tropical Disease เรียกสั้น ๆ ว่า World NTD Day เป็นความพยายามของภาคสาธารณสุขทั่วโลกที่จะรณรงค์สร้างความตระหนักถึงโรคในเขตร้อนที่คุกคามสุขภาพและความเป็นอยู่ของผู้คน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคน รวมถึงเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
โรคในกลุ่มนี้ที่คุ้นหูเรากันมากที่สุด ได้แก่ ไข้เลือดออกที่มียุงลายเป็นพาหะ ไข้มาลาเรีย โรคเท้าช้าง โรคเรื้อน และพยาธิต่าง ๆ สำหรับประเทศไทย 3 โรคที่สำคัญ ได้แก่ ไข้เลือดออก มาลาเรีย และวัณโรค
ป่วยเป็นไข้เลือดออก ยังไม่มียารักษา
แพทย์หญิงดารินทร์ อารีย์โชคชัย รองผู้อำนวยการกองโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เล่าว่า “โรคเขตร้อนที่ถูกละเลยที่ได้ชื่ออย่างนี้เพราะโรคเหล่านี้พบในประเทศเขตร้อน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศที่กำลังพัฒนา
“โรคเหล่านี้ไม่พบในประเทศตะวันตกหรือประเทศที่พัฒนาแล้ว ทำให้การพัฒนายารักษาโรคเหล่านี้มีน้อยและเป็นไปได้ช้า และคนในเขตร้อนเองก็อยู่กับโรคเหล่านี้จนชิน และไม่ได้ตระหนักว่าโรคเหล่านี้คือภัยคุกคามสุขภาพ”
โรค NTD ที่สำคัญที่สุดในประเทศไทยคือไข้เลือดออกซึ่งพบในทุกจังหวัด มียุงลายเป็นพาหะ และมีการรายงานผู้ป่วยปีละ 70,000-150,000 คนต่อปี
อัตราการเสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออกอยู่ที่ 1 คนต่อผู้ป่วย 1,000 คน หมายความว่าในแต่ละปีมีคนเสียชีวิตจากไข้เลือดออกเฉลี่ย 70-80 คน
สิ่งที่น่ากลัวคือโรคไข้เลือดออกนี้ยังไม่มียารักษา ต้องรักษากันไปตามอาการเท่านั้น และกลุ่มที่มีอัตราการป่วยสูงสุดคือเด็กวัยเรียนอายุระหว่าง 5-14 ปี
รองลงมาคือกลุ่มวัยรุ่นอายุระหว่าง 15-24 ปี แต่เป็นกลุ่มที่เสียชีวิตมากขึ้นด้วยเพราะกลุ่มนี้มักจะทนเป็นไข้ไปก่อนเมื่ออาการหนักจึงค่อยมาหาหมอ
ไข้เลือดออก โรคในเขตร้อน
ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงกุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ นายกสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โรคไข้เลือดออก เป็นโรคกลุ่ม NTD ที่สำคัญมาก เพราะคนส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อมีอาการไม่มาก หลายคนไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อจากยุงลายที่กัด และสามารถแพร่เชื้อต่อไปได้อีกมากมาย
ลำหรับคนที่มีอาการจะมีความรุนแรงต่างกัน ตั้งแต่อาการน้อย มีไข้ ไปจนถึงขั้นอวัยวะบางส่วนถูกทำลาย และเสียชีวิตได้
“เวลาที่เชื้อไข้เลือดออกเข้าสู่ร่างกาย ร่างกายเราจะมีกระบวนการกำจัดเชื้อ แต่กระบวนการนี้จะทำให้ร่างกายเกิดการปฏิกิริยารุนแรงจนช็อก หรือมีอักเสบในอวัยวะต่าง ๆ ได้
เหมือนกับเจ้าของบ้านเตรียมปืนมายิงผู้ร้าย พอยิงผู้ร้ายตายแล้วบ้านพังไปด้วย หลายคนช็อค อวัยวะล้มเหลว และเสียชีวิต ยิ่งใครแข็งแรง ภูมิต้านทานดี มักมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการรุนแรง”
อาการของโรคไข้เลือดออกมีตั้งแต่ไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยเนื้อตัว หน้าแดง คลื่นไส้อาเจียน รับประทานอาหารไม่ได้ ปวดท้องหนัก
ถ้าอาการหนักมากอาจจะมีเลือดออกง่าย ถ่ายดำ ช็อคหรือมีเหงื่อออกมากตัวเย็น อวัยวะต่าง ๆ ล้มเหลว
การต่อสู้กับไข้เลือดออกที่ดีที่สุดคือการพยายามอย่าให้ยุงกัด โดยการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ยุงลายชอบน้ำขัง น้ำนิ่ง ขนาดหยดน้ำในกาบใบไม้ยังวางไข่ได้
ดังนั้น จึงมักพบแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในเมือง เช่น ตามจานรองกระถางต้นไม้ อ่างเก็บน้ำในห้องน้ำ กล่องหรือกระป๋องที่ทิ้งไว้แล้วมีน้ำขัง
“2 ปีที่ผ่านมา การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้การรายงานผู้ป่วยไข้เลือดออกลดลง เพราะการที่คนไม่รวมอยู่ในที่เดียวกันเป็นจำนวนมาก ทำให้การแพร่ของโรคลดลง คนอยู่บ้านมากขึ้น ขยะในที่ชุมชนลดลง คนดูแลบ้านมากขึ้น แหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายลดลง เช่นในปี 2564 เราพบลูกน้ำยุงลายในขยะที่เป็นแหล่งน้ำขังลดลงจาก 15% เหลือ 9%” แพทย์หญิงดารินทร์ กล่าว
แต่ในปีนี้ คาดว่าอาจพบการติดเชื้อสูงขึ้นถึง 95,000 ราย เพราะมีการผ่อนคลายมาตรการหลาย ๆ อย่างเรื่องการเดินทาง การกลับไปโรงเรียนบ้าง เรียนที่บ้านบ้างสลับกันไป ทำให้การดูแลแหล่งน้ำในโรงเรียนหรือในชุมชนไม่สม่ำเสมอ เปิดโอกาสให้ยุงลายวางไข่ได้มากขึ้น
ล่าสุด องค์กรภาครัฐและเอกชน 11 แห่งร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออก Dengue-Zero เพื่อร่วมมือในการนำพาประเทศไทยสู่สังคมปลอดไข้เลือดออก โดยองค์กรพันธมิตรทั้ง 11 แห่งที่ร่วมลงนามในครั้งนี้
ภายใต้กรอบการทำงาน 5 ปีของบันทึกข้อตกลง Dengue-Zero องค์กรพันธมิตรจะทำงานร่วมงานเพื่อ 3 เป้าหมายหลัก ได้แก่ การลดอัตราการเสียชีวิตจากไข้เลือดออกให้ต่ำกว่า 1 คน ต่อผู้ป่วย 10,000 คน
การลดอัตราการเจ็บป่วยจากได้เลือดออกให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 25 และควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลายในชุมชนให้ต่ำกว่า 5 หลังคาเรือนจากการสำรวจ 100 หลังคาเรือน
เป้าหมายเหล่านี้จะเป็นก้าวแรกที่นำไปสู่เป้าหมายสูงสุดคือการลดอัตราการเสียชีวิตจากไข้เลือดออกให้เป็น 0 นับเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการขับเคลื่อนทั้งเชิงนโยบายและการปฏิบัติงานที่จะช่วยผลักดันให้คนไทยไม่ต้องเจ็บป่วยจากโรคเลือดออกได้อย่างยั่งยืน