“ฉลาดทางสังคม”...เป็นยังไง | วรากรณ์ สามโกเศศ
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมได้เขียนเรื่อง “ความฉลาดทางสังคม” และมีผู้อ่านหลายท่านบอกมาว่าอยากให้ยกตัวอย่างจริงในหลาย ๆ กรณีเพื่อเอาไปใช้ในชีวิตจริง และจะสอนตัวเองหรือลูกอย่างไรให้มี “ความฉลาดทางสังคม”
ผมขอตอบสนองท่านผู้อ่านที่ถามมาและท่านที่มิได้อ่านข้อเขียนในอาทิตย์ที่แล้ว โดยจะขอทบทวนเรื่อง “ความฉลาดทางสังคม” สั้น ๆ และตามด้วยตัวอย่างที่ยืนคิดนั่งคิดและนอนคิดมาหลายวัน
ความฉลาดทางสังคม (Social Intelligence; SI) คือความสามารถในการเข้าใจผู้คนและความสัมพันธ์ของผู้คนในสังคม ตลอดจนมีความสามารถในการบริหารจัดการคนอื่น ทั้งหมดนี้เพื่อช่วยให้สามารถกระทำการได้อย่างชาญฉลาดในสถานการณ์สังคมต่าง ๆ
ตัวอย่างเช่น หากเป็นคนขายของที่มี SI เมื่อเห็นนักท่องเที่ยวเดินผ่านมาก็พอคาดเดาได้ว่าเป็นคนชาติใดและทักทายด้วยภาษานั้น ๆ การกระทำอย่างนี้ย่อมสร้างความประทับใจได้มากกว่าการทักทายตามปกติ
อีกกรณีหนึ่งผมได้ยินเรื่องเล่าจากคนสร้างตัวจนรวยด้วยการขายของว่า ครั้งแรกที่ไปขายวัสดุก่อสร้างจากบริษัทให้ร้ายขายปลีก วันนั้นมีเซลส์อยู่หลายคนก่อนหน้าเขา เมื่อถึงคิวเขาเถ้าแก่บอกว่ากลับบ้านได้แล้วเพราะได้สั่งออเดอร์แล้ว เขาควบคุมสติเดินออกมาก็พบแม่ของเถ้าแก่ซึ่งเขาสังเกตเห็นตอนนั่งคอยว่าลูกเชื่อฟังแม่มาก
เขาจึงแนะนำตัวกับแม่และคุยกันอย่างสนุกเพราะพูดถึงเรื่องเก่า ๆ จนถูกใจแม่ เธอถามว่ามาทำอะไรเขาบอกเป็นเซลส์มาขายของแต่เถ้าแก่บอกให้กลับบ้านไม่ต้องฟังข้อเสนอของเขาแล้ว เธอบอกเอางี้เดี๋ยวจะไปบอกให้ลูกสั่งของจากเธอแทน หลังจากนั้นมาเขาก็ใช้ความสามารถพิเศษที่เขามีซึ่งก็คือ SI สร้างความร่ำรวยให้ตนเองทั้งในธุรกิจสีขาวและเทา
คนมี SI คือคนที่มีความสามารถในการเรียนรู้ความสัมพันธ์ในสังคมของผู้คน และสามารถเอามาใช้เป็นข้อมูลประกอบการกระทำอันชาญฉลาดของตนเอง
ถ้าเขาไม่สังเกตก็ไม่รู้ว่าที่นั่นใครใหญ่ที่สุด ถ้าเขาไม่รู้จักวิธีการพูดให้ Big Mama ชอบเขาแล้ว ก็ไม่มีโอกาสที่จะขายของได้ในวันนั้นอย่างแน่นอน
คนมี SI รู้ว่าเมื่อใดควรพูด เมื่อใดควรเงียบและพูดอะไรกับใครในแต่ละสถานการณ์ของสังคม หรือพูดอีกอย่างก็คือรู้ว่าจะ “เล่น” อย่างไรในแต่ละสถานการณ์ คนมี SI จะไม่พูดให้วงแตก มีแต่วงไม่แตกและชอบเขา
เพราะเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้คนอันเนื่องมาจากการสังเกต การสะสมการเรียนรู้ของเขาและการพูดที่ถูกหูและรื่นหูผู้คน ถูกกาลเทศะจนบรรยากาศของการพบปะพูดจาเป็นไปด้วยดี
องค์ประกอบของ SI ได้แก่
(1) มีทักษะในการพูดจา รู้ว่าจะพูดอย่างไรให้น่าสนใจและสนุกสนาน อะไรที่ควรหลีกเลี่ยง อะไรที่ควรพูด
(2) มีทักษะในการฟัง เป็นนักฟังที่ดี ให้ความสนใจแก่คนพูดและสิ่งที่เขาพูดโดยแสดงให้เห็นว่าเข้าใจสิ่งที่พูด
(3) มีทักษะในการพูดในที่สาธารณะ ทักษะนี้ทำให้สามารถสร้างความเข้าใจกับคนอื่น ๆ และมีความมั่นใจในสิ่งที่พูด
(4) มีความรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางสังคม สามารถเข้าใจ “กฎกติกาสังคม” ที่เป็นรากฐานของความสัมพันธ์ของสังคมนั้นๆถึงแม้ไม่มีใครบอกก็ตาม เช่น ไม่เอ่ยชื่อหรือไม่กล่าวถึงความเชื่อหรือบางเรื่องที่สังคมนั้นไม่ชอบอย่างยิ่ง
(5) มีความเข้าใจอารมณ์และสิ่งจูงใจของคนอื่น ความช่างสังเกตและความพยายาม“อ่าน” ความคิดและความรู้สึกของคนอื่นทำให้รู้ว่าอะไรเป็นสิ่งจูงใจให้คน ๆ หนึ่งขับเคลื่อนเช่น เงิน ชื่อเสียง ความดัง การยอมรับ หรือเรื่องเซ็กส์
(6) รู้จักวิธีที่ทำให้คนอื่นรู้สึกประทับใจในตนเอง รู้ว่าจะประชาสัมพันธ์ตนเองอย่างไร ทำอย่างไรให้คนอื่นชื่นชมในตัวเขา
เพื่อนบางคนที่เรารู้สึกว่า “ซื่อบื้อ” เช่น มีรสนิยมในการเลือกแฟนที่แย่ (เลือกคนไม่เอาไหนอยู่เสมอ) อ่านคนไม่เป็น ไม่ทันคน ไม่รู้จักเลือกคบเพื่อน มองไม่เห็นทั้งโอกาสและภัยที่ใกล้ตัว ฉลาดก็จริงแต่ไม่เฉลียว ไม่สังเกตเห็นอะไรเลย ฯลฯ คนลักษณะเช่นนี้แหละคือคนที่ขาด SI
คนมี SI มิได้หมายความว่าเป็นคนที่แสวงหาประโยชน์จากคนอื่นหากเป็นคนที่เข้าใจโลก มิได้เห็นโลกสวยอยู่เสมอ อ่านคนออก รู้จักเลือกคบคนที่ไม่นำความเดือดเนื้อร้อนใจหรือภัยมาให้ รู้จักกาละเทศะทางสังคม ฯลฯ จนสามารถ “อยู่รอดและอยู่ดี” ในโลกนี้ได้อย่างมีความสุข
คนมี SI มักเป็นคนที่มีสามัญสำนึก (common sense) ดี และมีความสามารถ “เอาตัวรอด" ได้ในชีวิต
ตัวอย่างที่น่ากลัวมากเมื่อเร็ว ๆ นี้ก็คือข้อความในหนังสือ “Spare” ของอดีตเจ้าชายแฮรี่ที่ว่าได้ฆ่าพวก Talibans ไปรวม 25 คนเมื่อครั้งที่เป็นทหาร คำพูดที่ไม่สะท้อนการมี SI เช่นนี้อาจทำให้ตนเองตกอยู่ในอันตรายจากการแก้แค้นของกลุ่มหัวรุนแรงนี้ก็เป็นได้ การยืนยันการกระทำสามารถถูกใช้เป็นข้ออ้างในการแก้แค้นได้เป็นอย่างดีเพราะตนเองเป็นคนบอกเอง
มนุษย์ทุกคนเรียนรู้จนมี SI อยู่ตลอดเวลาที่เติบโตมาอย่างไม่รู้ตัว หากเป็นคนช่างสังเกตและมีคนอธิบายให้ฟังว่า SI ในเรื่องนั้น ๆ คืออะไร และเอามาใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง ก็จะทำให้เห็นสิ่งที่เรียกว่า SI ได้ชัดเจนขึ้นและสังเกตเห็นมันจากชีวิตประจำวันได้มากยิ่งขึ้น
หลักของการเรียนรู้เรื่อง SI ก็คือการเข้าใจว่า SI คืออะไร สังเกตเห็นจากสิ่งใดและอย่างไร อีกทั้งเชื่ออย่างจริงใจว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ เมื่อมีพื้นฐานเช่นนี้แล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการสังเกต เฝ้าดู ติดตาม สะท้อนคิด และสรุปเป็นบทเรียนสะสมสำหรับตนเอง
บ่อยครั้งที่คนมี SI สูงมักเป็นนักตุ้มตุ๋นที่เก่งเนื่องจากทักษะของการมี SI สามารถนำไปใช้ได้ทั้งกรณีที่เป็นคุณและเป็นโทษแก่ผู้อื่น ดังนั้นการมี SI สูงของตัวเราเองจึงเท่ากับเป็นเครื่องมือป้องกันตัวและควรระวังตัวเป็นพิเศษทุกครั้งเมื่อพบคนที่ดูจะมี SI สูงเป็นพิเศษ
คนฉลาดชนิดที่มีความสามารถในการใช้เหตุใช้ผลและการวิเคราะห์สูงอย่างที่เราเรียกกันว่ามี IQ สูงนั้นไม่จำเป็นว่าจะมี SI สูงตามไปด้วย
บ่อยครั้งที่คนมี IQ สูงไปไม่ถึงดวงดาวเพราะขาดความเฉลียว อ่านคนไม่ออกและคบคนไม่เป็น กล่าวคือ “อยู่เกือบไม่รอด และอยู่ไม่ดี” เพราะถูกพาลงเหวเนื่องจากขาดความเข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ทางสังคมของมนุษย์