'พลิกวิกฤตคางดำ' หวั่นกระทบเศรษฐกิจสัตว์น้ำ
จุฬาฯ จัดเสวนา “ระดมแนวคิด พลิกวิกฤตคางดำ” ประสานความร่วมมือนักวิชาการหลากหลายสถาบันหาทางออก ต้องกำจัดการแพร่ระบาดได้อย่างยั่งยืน แปรรูปบริโภคได้ไม่อันตราย ห่วงลามกระทบเกษตรรายย่อย-สัตว์น้ำ หากไร้ทิศทางการควบคุม หวั่นกระทบเศรษฐกิจสัตว์น้ำไทยระลอกใหม่
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยศูนย์สื่อสารองค์กร จุฬาฯ ร่วมกับสถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ จุฬาฯ (ARRI Chula) จัดงานเสวนาวิชาการ Chula the Impact ครั้งที่ 24 “ระดมคิด พลิกวิกฤตคางดำ” โดยเชิญนักวิชาการที่เกี่ยวข้องจากหลากหลายสถาบันและหน่วยงาน เพื่อร่วมกันหาทางออกและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในประเทศไทย พร้อมตอบข้อสงสัยต่าง ๆ ซึ่งกำลังได้รับความสนใจจากสังคม
ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร ผู้รักษาการอธิการบดีจุฬาฯ ประธานเปิดงานเสวนา กล่าวว่างานเสวนา “ระดมคิด พลิกวิกฤตคางดำ” เป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจสำคัญด้านการเสริมสร้างงานวิจัยเชิงคุณค่าให้สามารถตอบโจทย์ให้ตรงความต้องการของสังคม จากปัญหาที่เกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจระดับประเทศ ผ่านการระดมความคิดจากทั้งนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาจากวิกฤตปลาหมอคางดำที่เกิดขึ้นและส่งผลกระทบยังระบบนิเวศในวงกว้าง และได้สร้างความเสียหายทั้งในภาคการเกษตรและระบบเศรษฐกิจซึ่งเป็นประเด็นที่สังคมไทยให้ความสนใจในขณะนี้
“สำหรับการจัดงาน Chula the Impact ครั้งที่ 24 นี้ ยังได้ร่วมกับหน่วยงานด้านต่างๆ เพื่อระดมความคิดเพื่อหา แนวทางแก้ไขอย่างยั่งยืน พร้อมกับการถอดบทเรียนวิกฤตปลาหมอคางดำในครั้งนี้ เพื่อหาแนวทางป้องกันและเสริมสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในสังคมร่วมกัน” ศ.ดร.วิเลิศ กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
เปิดที่มา 'ปลาหมอสีคางดำ' ลักลอบนำเข้าในไทยมานานกว่า 10 ปี
'อ.ธรณ์' มีคำตอบ 'ปลาหมอคางดำ' อันตรายแค่ไหน กำจัดได้หรือไม่
เร่งกำจัดสายพันธุ์ข้ามถิ่นก่อนตั้งรกราก
ศ.ดร.สุชนา ชวนิชย์ รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ จุฬาฯ และอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวถึงชนิดพันธุ์ต่างถิ่นของปลาหมอคางดำในประเทศไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราคิดว่าเป็นเรื่องที่ใหม่ แต่จริง ๆ เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ในต่างประเทศพูดกันมานานเป็น 20 ปีแล้วถึงภัยคุกคามและผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งแบบรุนแรงและไม่รุนแรงต่อระบบนิเวศตามธรรมชาติ
ขณะที่ประเทศไทยมีการนำชนิดพันธุ์ต่างถิ่นเข้ามาในประเทศนานแล้ว ส่วนใหญ่ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นจะถูกนำเข้ามาเพื่อการเกษตรและการเพาะเลี้ยง ช่วงหลังมีการนำเข้ามาเพื่อเป็นปลาสวยงาม แต่เนื่องจากชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่ประเทศไทยนำเข้ามา ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจและปากท้อง จึงทำให้เรามองข้ามผลกระทบที่มีต่อระบบนิเวศ อย่างเช่น กุ้งขาว เป็นต้น
“สัตว์ชนิดพันธุ์ต่างถิ่น เมื่อนำเข้ามาในพื้นที่ที่ไม่เคยมีสัตว์ชนิดนี้มาก่อน อาจจะก่อให้เกิดผลกระทบที่อาจจะรุนแรงมากหรือน้อย และอาจจะใช้เวลาให้เห็นผลกระทบช้าหรือเร็ว ขึ้นอยู่กับจำนวนของชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่ถูกนำเข้ามาในพื้นที่ด้วย คงที่จะถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยควรที่จะให้ความสำคัญและกำหนดกฎเกณฑ์ และมาตรการเกี่ยวกับเรื่องการนำเข้ามาของชนิดพันธุ์ต่างถิ่นทั้งแบบถูกต้องและไม่ถูกต้อง มีการป้องกันมากกว่าการแก้ไข เพราะถ้าชนิดพันธุ์ต่างถิ่นสามารถตั้งรกรากอยู่ในบริเวณใดบริเวณหนึ่งได้แล้ว โอกาสที่จะกำจัดให้หมดไปคงเป็นไปได้ยาก” ศ.ดร.สุชนา กล่าว
ออกมาตรการและนโยบาย สร้างความรู้ ข้อมูลต้องชัด
รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ จากภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่าจากแผนปฏิบัติการ 7 มาตรการ เพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดปลาหมอคางดำ พ.ศ. 2567-2570 ของคณะคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีมาตรการที่ 5 ที่ระบุว่า สร้างความรู้ ความตระหนัก และการมีส่วนร่วมในการกำจัด จัดทำคู่มือประชาชนและเจ้าหน้าที่เพื่อรับมือการแพร่ระบาด แต่จะเห็นได้ว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมามีการเผยแพร่ข่าวสารที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับปลาหมอคางดำเป็นจำนวนมาก และส่งผลกระทบต่อการจัดการกับการแพร่ระบาดของมัน
“ตัวอย่างเช่น บอกว่าปลาหมอคางดำไม่เหมาะเป็นอาหารมนุษย์ ไข่ปลาตากแดดไว้ 2 เดือนยังฟักเป็นตัวได้ นกกินไข่ปลาเข้าไป ถ่ายออกมาแพร่พันธุ์ได้ ปลานิลกลายพันธุ์ผสมพันธุ์กับปลาหมอคางดำ กลายเป็นปลานิลคางดำ ฯลฯ หรือแม้แต่กรณีของการสื่อสารออกไปคลาดเคลื่อน ว่าปลาหมอคางดำในประเทศไทยมีดีเอ็นเอเหมือนกันหมด ฟันธงว่ามาจากบริษัทเอกชนรายหนึ่ง ซึ่งความจริงแล้ว ไม่สามารถระบุได้เช่นนั้น เพราะขาดตัวอย่างลูกปลาที่เคยนำเข้ามาในอดีต มาวิเคราะห์เทียบเคียง แต่ก็ยังมีความหวัง ด้วยการนำเอาลำดับดีเอ็นเอของปลาหมอคางดำในประเทศไทย มาวิเคราะห์เทียบกับปลาหมอคางดำในประเทศอื่น ๆ ของทวีปแอฟริกา ก็จะเข้าใกล้คำตอบมากขึ้นถึงที่มาของการแพร่ระบาดว่าเป็นปลาที่นำเข้ามาจากประเทศใด”
รศ.ดร.เจษฎา กล่าวเสริมว่า นับจากนี้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องยังต้องเร่งออกมาตรการและนโยบายต่างๆ เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจให้ตระหนักถึงวิกฤตการแพร่ระบาดปลาหมอคางดำ ล่าสุดมีการพบปลาหมอคางดำในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีและจังหวัดสงขลาแล้ว และอาจมีแนวโน้มว่าจะขยายการแพร่ระบาดไปยังประเทศกัมพูชาและประเทศมาเลเซียได้อย่างแน่นอนในอนาคต
“การนำปลาหมอคางดำมาบริโภค เป็นวิธีการกำจัดที่ตรงไปตรงมา ด้วยสามารถนำมาปรุงเป็นอาหารหลากหลายเมนูได้เช่นเดียวกับปลาหมอหรือปลานิลทั่วไป รวมไปถึงมีการใช้ปลาหมอคางดำมาปรับสูตรเป็นวัตถุดิบเพื่อทำน้ำปลาปรุงรสแล้วด้วยเช่นกัน อย่างในต่างประเทศที่พบว่าปลาหมอคางดำเป็นอีกหนึ่งปลาเศรษฐกิจที่มีการนำมาบริโภค” รศ.ดร.เจษฎา กล่าว
“ปลาหมอคางดำ” ถูกนำเข้ามากกว่า 1 ครั้ง
ด้าน ผศ.ดร.วันศุกร์ เสนานาญ ภาควิชาวาริชศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา อธิบายการกระจายพันธุ์ของปลาหมอทั่วประเทศว่ามาจากแหล่งเดียวกันหรือไม่ ซึ่งจากการศึกษาดีเอ็นเอของปลาหมอคางดำที่รายงานโดยกรมประมง เมื่อปี 2561- 2563 พบว่ามีการรุกรานระลอกแรกที่พบในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม สมุทรสาคร เพชรบุรี สมุทรปราการ ประจวบ ชุมพร และ ระยอง บ่งชี้ว่าปลาจากทั่วประเทศ อาจมาจากการนำเข้าพื้นที่มากกว่า 1 ครั้ง นอกจากนี้การกระจายต่างพื้นที่ที่อยู่ห่างกัน น่าจะไปโดยการนำพาเข้าไปของมนุษย์มากกว่าที่จะไปโดยธรรมชาติ ปัจจุบันพบปลาหมอคางดำ กระจายอยู่ในพื่นที่ 17 จังหวัดในประเทศไทยแล้ว
“บทเรียนสำคัญที่ได้จากการรุกรานของปลาหมอคางดำและความเสียหายที่เกิดขึ้น ทำให้เห็นว่าจำเป็นการประเมินความเสี่ยงและวางมาตรการรับมืออย่างเหมาะสม โดยอาจต้องพิจารณาผลกระทบอย่างรอบด้าน รวมถึงการนำเข้าด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์” ผศ.ดร.วันศุกร์ กล่าว
ขณะที่ล่าสุดมีการพบปลาหมอคางดำในพื้นที่จังหวัดชลบุรีในพื้นที่ใกล้กับป่าชายเลนซึ่งเป็นบริเวณน้ำกร่อยอยู่ติดกับทะเล ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดในการกำจัดปลาหมอคางดำ โดยอาศัยการเรียนรู้จากข้อมูลในพื้นที่ในจังหวัดอื่นที่ประสบปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำมาก่อนหน้านี้ ไปพร้อมศึกษาวิธีการดำรงชีวิตปลาหมอคางดำในสภาพแวดล้อมต่างๆ ไปด้วยพร้อมกัน
ปล่อยปลาผู้ล่ากำจัดปรับสมดุล
นายคงภพ อำพลศักดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุกรรมสัตว์น้ำ (นักวิชาการประมงเชี่ยวชาญ) กองวิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำ กรมประมง กล่าวว่า ปัจจุบันการควบคุมปลาหมอคางดำด้วยชีววิธี (Biological control) ที่กรมประมงเลือกใช้มี 2 วิธีได้แก่
1. การปล่อยปลาผู้ล่าได้แก่ปลากะพงขาว ปลาอีกง ปลาช่อน ปลากดแก้ว เป็นต้น
2. การปล่อยปลาหมอคางดำโครโมโซม 4 ชุด (4n) เพื่อให้ไปผสมกับปลาที่อยู่ในแหล่งน้ำแล้วได้ลูกที่เป็นหมัน ไม่สามารถสืบพันธุ์ต่อได้ วิธีควบคุมปลาหมอคางดำ
โดยทั้ง 2 วิธีนี้มีเป้าหมายทำให้ประสิทธิภาพการขยายพันธุ์ของปลาหมอคางดำลดลง ซึ่งกรมประมงคำนึงถึงปริมาณปลา (ปลาผู้ล่า และปลา 4 n) และช่วงเวลาที่จะดำเนินการปล่อยให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด และส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน้อยที่สุด
ใช้กำลังไฟฟ้า กำจัดปลาหมอคางดำ
ด้าน ผศ.ดุสิต สุขสวัสดิ์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มองว่าวิธีการจัดการด้วยการใช้ไฟฟ้าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่น่าสนใจและมีประสิทธิภาพในการยุติการแพร่กระจายของปลาหมอคางดำที่กำลังวิกฤตในขณะนี้
“ในกรณีศึกษาจากต่างประเทศที่เผชิญกับการรุกรานของปลาเอเลี่ยนสปีชีส์ จะมีวิธีการจัดการด้วยการใช้ไฟฟ้าอย่างแพร่หลาย เช่น การจัดการด้วยเรือช็อตไฟฟ้า เครื่องช็อตไฟฟ้าแบบสะพายหลัง และตะแกรงช็อตไฟฟ้า เพราะเป็นวิธีการที่ปลอดภัย ไม่ทิ้งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม และสร้างความยั่งยืนในระยะยาว เพราะหากไม่มีปลาหมอคางดำแล้ว ก็จะสามารถสร้างระบบนิเวศสัตว์น้ำขึ้นมาได้ใหม่ โดยการปล่อยและเพาะพันธ์สัตว์น้ำคืนตามธรรมชาติ เพื่อทำให้ในน้ำของเรากลับมามีปลาอย่างเช่นเคย” ผศ.ดุสิต กล่าว
แนวทางการใช้ไฟฟ้าเพื่อกำจัดการแพร่ระบาดปลาหมอคางดำ ในขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบภายใต้คณะวิศวกรรมศาสตร์ฯ และเห็นว่าจะต้องเร่งกำจัดปลาหมอคางดำที่มีขนาดใหญ่ให้ได้ก่อนในขณะนี้ ด้วยต่อไปอาจส่งผลกระทบกับเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์น้ำต่างๆ โดยเฉพาะ บ่อกุ้ง หรือ ปลากระบอก ปลาเนื้ออ่อนต่างๆ ที่อาจจะมีราคาสูงขึ้น จากการเข้ามารุกรานของปลาหมอคางดำขนาดใหญ่ ที่จะเล็ดลอดเข้ามาในบ่อเลี้ยงและกินสัตว์น้ำขนาดเล็กเหล่านี้เป็นอาหาร
ศึกษา “จีโนม” ปรับแต่งสายพันธุ์ ตั้งรับอนาคต
ด้าน ผศ.ดร.อนงค์ภัทร สุทธางคกูล อาจารย์ประจำภาควิชาพันธุศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า สำหรับอีกทางเลือกหนึ่งในการควบคุมประชากรปลาหมอคางดำทางชีวภาพสามารถทำได้โดยการปรับแต่งจีโนม (genome editing) ซึ่งเป็นเทคนิคที่แก้ไขรหัสพันธุกรรมในตำแหน่งที่ต้องการอย่างจำเพาะ และไม่ถือเป็นสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม (GMO) หากไม่มีสารพันธุกรรมจากสิ่งมีชีวิตอื่นหลงเหลืออยู่
“เทคนิคนี้สามารถใช้เปลี่ยนเพศปลาได้ ซึ่งได้รับการทดสอบแล้วในปลานิล นอกจากนี้ยังมีการใช้เทคนิคดังกล่าวในการสร้างระบบ gene drive ที่ควบคุมประชากรยุงได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่การใช้ระบบ gene drive นี้จะเป็นการปล่อย GMO สู่สิ่งแวดล้อม จากข้อมูลข้างต้น แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการปรับแต่งจีโนมเพื่อเปลี่ยนเพศ ร่วมกับการนำระบบ gene drive มาใช้ในการจัดการการระบาดของปลาหมอคางดำ ซึ่งต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมทั้งในด้านเทคโนโลยี และแนวทางในการป้องกันหรือลดทอนผลกระทบต่อระบบนิเวศ อีกอย่างน้อย 2-3 ปี แนวทางดังกล่าวถือเป็นแผนรองรับการศึกษาถึงผลกระทบภายในระยะเวลา 3 ปี เพื่อให้ได้ข้อมูลล่วงหน้า และพร้อมเตรียมนำไปปรับใช้ได้ต่อไปในอนาคต” ผศ.ดร.อนงค์ภัทร กล่าว
สำหรับงานเสวนาวิชาการ Chula the Impact ครั้งที่ 24 “ระดมคิด พลิกวิกฤตคางดำ” ผู้สนใจ สามารถรับชมการถ่ายทอดสดย้อนหลังได้ทาง Facebook Live : Chulalongkorn University