ไม่เกิน 5 ปี AI ฉลาดกว่ามนุษย์ แรงงานหายไปไม่ต่ำกว่า 50%
“เมื่อปัญญาประดิษฐ์ AI กำลังถูกพัฒนาถึงระดับปัญญาเทียบเท่ามนุษย์ ในอนาคต AI จะเข้ามาทำงานแทนที่มนุษย์โดยทำได้ฉลาดกว่า แม่นยำกว่า รวดเร็วกว่า และถูกกว่า อนาคตของมนุษยชาติจะเป็นอย่างไร”
คำถามที่ท้าทายข้างต้น ศ.กิตติคุณ ดร.วรศักดิ์ กนกนุกุลชัย ราชบัณฑิต รักษาการผู้อำนวยการสถาบันนวัตกรรมบูรณาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้นำเสนอคำตอบที่น่าสนใจในการบรรยายพิเศษเรื่อง “เมื่อเอไอครองโลก มนุษย์จะอยู่อย่างไร” เมื่อเร็วๆ นี้ ณ ห้องประชุม CSII Digital Auditorium ชั้น 3 อาคารเฉลิมราชกุมารี 60 พรรษา (อาคารจามจุรี 10)
จัดโดยสถาบันนวัตกรรมบูรณาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับราชบัณฑิตยสภา ในโครงการราชบัณฑิตยสภานำความรู้สู่สังคม โดยมี ศ.เกียรติคุณ นพ.สุรพล อิสรไกรศีล นายกราชบัณฑิตยสภา เป็นผู้กล่าวต้อนรับและกล่าวเปิดงาน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
หุ่นยนต์ AI ทำงานแทนมนุษย์ในงานที่ต้องทำซ้ำ
ศ.กิตติคุณ ดร.วรศักดิ์ กนกนุกุลชัย ผู้เฝ้าติดตามเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI อย่างใกล้ชิด ได้แบ่งปันความรู้พื้นฐานและข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับพัฒนาการของ AI ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างก้าวกระโดด รวมทั้งแนวโน้มที่กำลังจะเกิดในอนาคตอันใกลนี้ จากนี้ไปเราจะต้องอยู่กับ AI ตลอดเวลา ประชาชนต้องใช้ AI ให้เป็น และเข้าใจในประโยชน์และโทษของ AI
“ในอีกไม่เกิน 5 ปีข้างหน้า AI จะมีความฉลาดมากกว่ามนุษย์ สามารถทำทุกอย่างที่มนุษย์ทำได้ AI ในรูปของหุ่นยนต์จะเข้ามาทำงานแทนมนุษย์ในลักษณะงานที่ต้องทำซ้ำ สามารถทำงานได้ 24 ชั่วโมงโดยไม่บ่น ไม่มีอารมณ์ ทำได้ตลอดเวลา ทำให้ผลผลิตต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปมนุษย์ก็ไม่ต้องทำงาน สามารถใช้ชีวิตอิสระมากขึ้น ไม่ต้องอยู่ในที่ทำงานแคบๆ อีกต่อไป” ศ.กิตติคุณ ดร.วรศักดิ์ กล่าว
แรงงานมนุษย์หายไปในระบบไม่ต่ำกว่า 50%
ศ.กิตติคุณ ดร.วรศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่าปัจจุบัน AI ยังถูกออกแบบให้ทำงานได้เฉพาะอย่าง อนาคต AI จะถูกพัฒนาถึงระดับปัญญาเทียบเท่ามนุษย์ ที่เรียกว่า Artificial General Intelligence หรือ AGI สามารถเลือกทำอะไรก็ได้ในสิ่งที่มนุษย์สั่ง เป็นหุ่นยนต์ที่มีสมองเป็น AI โดยเข้ามาทำงานแทนที่มนุษย์ได้อย่างหลากหลาย ทำงานได้เร็วกว่า นานกว่า ฉลาดกว่า และราคาถูกกว่า
ในอีก 5 ปีข้างหน้าแรงงานมนุษย์จะหายไปในระบบไม่ต่ำกว่า 50 % ลักษณะงานที่ถูกแทนที่โดย AI เช่นพนักงาน Call Center ผู้ที่ให้บริการในธนาคาร ศิลปินที่เขียนภาพ ฯลฯ ทำให้เกิดโลกแห่งความเหลือเฟือ (Abundant World) เกิดผลิตภัณฑ์ที่ AI ผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก ราคาจะถูกลงเรื่อยๆ
อีกไม่นานสังคมมนุษย์จะเข้าสู่ยุค "เศรษฐกิจยุคหลังแรงงานมนุษย์ (Post-Labor Economy)" ที่ประชาชนส่วนใหญ่อยู่ในสถานะไม่ต้องทำงานแล้ว ในเชิงเศรษฐกิจถือว่าเป็น "ชนชั้นไร้ประโยชน์” (Useless Class) จนถึงแนวคิดเรื่องการได้รับ "เงินยังชีพพื้นฐานถ้วนหน้า (Universal Basic Income หรือ UBI)" ในอนาคตทุกคนจะได้เบี้ยยังชีพ ทำให้ความมั่งคั่งของประเทศที่มีอยู่จะหายไปเรื่อยๆ ประเทศที่มีความก้าวหน้าด้าน AI จะครอบครองความมั่งคั่งของโลก ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้อาจทำให้ภูมิรัฐศาสตร์ของโลกเปลี่ยนไป
“ประชาชนทุกคนต้องมีความรู้เท่าทัน AI (AI Literacy) ซึ่งจะต้องปูพื้นฐานตั้งแต่เด็ก เมื่อเติบโตขึ้นจะได้ใช้ AI ให้เป็น ในส่วนของภาครัฐควรตั้งทีมงานในลักษณะที่เป็นมันสมองของชาติเพื่อประมวลข้อมูลทางด้าน AI และพิจารณาว่าจุดยืนของประเทศควรจะอยู่ที่ใด มีการประชาสัมพันธ์แผนยุทธศาสตร์ให้ประชาชนเข้าใจว่าเพราะเหตุใด AI จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ รวมทั้งจะต้องทำให้ประชาชนได้รับการอบรมให้มีความเข้าใจในเรื่อง AI” ศ.กิตติคุณ ดร.วรศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย