คลอดมาตรการเพิ่มรองรับนักท่องเที่ยวเข้าไทย ไม่เจาะจงแค่จีนเปิดประเทศ
ปลัดสธ.เผยมาตรการรองรับนักท่องเที่ยวต่าวชาติเข้าไทย ทุกประเทศที่กำหนดให้กลับเข้าประเทศตรวจ RT-PCR ผู้เดินทางต้องมีประกันสุขภาพโควิด-19ก่อนเข้าประเทศไทย สิ่งการันตีมีค่ารักษาหากตรวจเจอผลบวกในไทย เป็นมาตรการสมเหตุสมผล สถานการณ์ในจีนไม่ต่างประเทศอื่น
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 5 ม.ค.2565 ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงมาตรการรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติว่า นโยบายต่างๆที่ออกเป็นไปตามเกณฑ์ที่ประเทศไทยพิจารณาไม่ได้เจาะจงประเทศใดประเทศหนึ่ง เป็นเกณฑ์ที่ยึดตามกฎหมายจ่างๆ ทั้งกฎอนามัยระหว่างประเทศ กฎหมายของประเทศไทย โดยมีคณะกรรมการด้านวิชาการตามพรบ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 เป็นที่ปรึกษา ก็ให้คำยืนยันว่ามาตรการที่ออกยึดหลักการแพทย์และสาธารณสุข ตามข้อมูลที่มีอยู่จริง ปฏิบัติจริง
“เข้าใจว่าผู้ที่ออกความเห็นตามโซเชียลมีเดียต่างๆ คงจะหวังดี แต่ออกความเห็นโดยยึดข้อมูลจากต่างประเทศ จากโซเชียลมีเดีย ซึ่งจริงบ้างไม่จริงบ้างแล้วใช้ความคิด ความรู้สึกส่วนตัวไปพิจารณา จึงเกิดข้อกังวลให้กับประชาชน อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า กระทรวงสาธารณสุข(สธ.)มีหลักในการพิจารณาและปฏิบัติ ทั้งหลักวิชาการ หลักกฎหมาย หลักกฎหมายระหว่างประเทศ สอดคล้องกันทุกมิติ”นพ.โอภาสกล่าว
นพ.โอภาส กล่าวอีกว่า ที่ประชุมในวันนี้มีความเห็นเป็นเอกฉันท์เป็นแนวทางที่จะดำเนินการไปด้วยกัน โดยยึดถือวิถีปฏิบัติมาตรการตามมาตรฐานประเทศไทย ทั้งความปลอดภัยของคนไทย และของผู้ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยเป็นหลัก ส่วนการดูสถานการณ์การระบาดของโรคติดต่อ โดยจะดูจาก
1.เชื้อโรค ซึ่งเป็นโอมิครอนและสายพันธุ์หลักไม่มีกลายพันธุ์มาร่วมปีแล้ว ส่วนสายพันธุ์ย่อยมีนักวิทยาศาสตร์เฝ้าระวัง แต่การกลายพันธุ์ที่สำคัญ คือ มีความรุนแรงขึ้น ดื้อยา ดื้อวัคซีน ที่ผ่านมายังไม่มีสัญญาณในเรื่องนี้
2.ภูมิคุ้มกัน ในส่วนของคนไทยและทั่วโลกมีค่อนข้างสูงทั้งจากการติดเชื้อและการฉีดวัคซีน 3.ระบบการจัดการของสธ.ทั้งในเรื่องการเฝ้าระวัง การรักษา เวชภัณฑ์มีพร้อม เตียงมีเพียงพอ จึงไม่น่าเป็นห่วงมากนัก และ4.มาตรฐานที่ประเทศไทยดำเนินการ ให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาต้องมีการฉีดวัคซีนโควิด-19นั้น ก็ตรงกับมาตรฐานองค์การอนามัยโลก(WHO)
แต่หากประเทศใดมีมาตรการเพิ่มเติม เช่น มีข้อกำหนดก่อนเข้าประเทศต้องตรวจRT-PCR ก็ยินดี แต่ถ้าผลบวกก็กลับประเทศไม่ได้ จะต้องอยู่ประเทศไทยในการรักษา จึงกำหนดให้ประเทศใดก็ตามที่มีข้อกำหนดว่าก่อนเข้าประเทศต้องตรวจRT-PCR ขอให้มีการประกันสุขภาพที่ครอบคลุมการรักษาโควิด-19ด้วย จะได้ไม่เป็นภาระของสธ.ในกรณีที่เรียกเก็บเงินไม่ได้ เป็นต้น
“ประเทศใดๆที่มีข้อกำหนดว่าก่อนกลับเข้าประเทศต้องมีการตรวจ RT-PCR มาตรการของไทยก็กำหนดว่าผู้เดินทางจากประเทศนั้นต้องมีการทำประกันสุขภาพที่ครอบคลุมการรักษาโควิด-19ด้วย เพราะถ้าผลบวกก็กลับประเทศไม่ได้ ก็ต้องรักษาในไทย มีค่าใช้จ่าย ก็ต้องให้ทำประกันสุขภาพ จะได้ไม่มีปัญหา เพราะที่ผ่านมา เคยเกิดกรณีมีปัญหากลับประเทศไม่ได้ ก็รักษาในไทย ส่วนประเทศใดที่ไม่ได้ประกาศเงื่อนไขนี้ ก็ไม่ต้องทำประกันสุขภาพ ส่วนประเทศที่ประกาศก็ต้องมีมาตรการเรื่องประกันสุขภาพเข้าไป เรียกว่ามาตรการพ่วง โดยจะมีการกำหนดขั้นต่ำซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องไปหารือ”นพ.โอภาสกล่าว
ถามถึงกรณีที่ประชาชนคนไทยยังกังวลกับการระบาดจากการที่จีนเปิดประเทศเข้ามาในไทย นพ.โอภาส กล่าวว่า อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นหลักในที่ปรึกษาเรื่องโควิด-19หลายท่านให้การยืนยันว่า ดูสถานการณ์แล้วไม่น่าเป็นห่วงอะไร สถานการณ์ในบางประเทศตัวเลขผู้ติดเชื้อก็ไม่ได้ต่างจากที่กังวลมากนัก บางประเทศมีผู้ติดเชื้อวันละ 2แสน แต่คนไทยก็ยังไปท่องเที่ยวประเทศนั้นจำนวนมากโดยไม่ได้กลัวอะไร อีกทั้ง สายพันธุ์โอมิครอนก็ไม่ได้กลายพันธุ์มากมาย และภูมิคุ้มกันคนไทยมีค่อนข้างมาก
“สังเกตดูตั้งแต่ต.ค.2565ที่ประกาศจากโรคติดต่ออันตรายเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวัง คนก็กลัวมากว่าจะเกิดปัญหา แต่สธ.ก็ยืนยันในข้อมูล และหลักวิชาการ ซึ่งก็พิสูจน์มาหลายครั้งตั้งแต่ต.ค.-ธ.ค.2565 ก็ไม่ได้มีสถานการณ์ที่รุนแรง และเป็นไปตามที่สธ.และคณะผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ไว้ ส่วนข้อมูลจากโซเชียลฯก็จริงบ้างไม่จริงบ้าง และส่วนใหญ่ก็เป็นความเห็น ไม่ได้ยึดตามข้อมูลที่สธ.มีอยู่จริง อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นแล้ว ก็ไม่ได้แปลว่าจะลั้ลลาตลอด เพียงแต่การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เป็นหลักประกันว่า หากติดเชื้อก็จะไม่รุนแรง แต่หากที่ใดมีความเสี่ยงก็ต้องระมัดระวัง จึงต้องย้ำว่า การใส่หน้ากากอนามัยในจุดเสี่ยงก็จะเป็นเครื่องมือป้องกันได้”นพ.โอภาสกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงการที่ประเทศไทยไม่ตรวจเชื้อก่อโรคโควิด-19นักท่องเที่ยวก่อนเข้า นพ.โอภาส กล่าวว่า ขณะนี้เชื้อมีอยู่ทั่วโลก ค่อนข้างพิสูจน์ยากว่าติดเชื้อก่อนหรือมาอยู่ในไทยแล้วติดเชื้อ จริงๆสายพันธุ์จีน ในประเทศไทยเจอมาหมดแล้วอย่าง BA.5 ก็เจอมาแล้ว และ สถานการณ์โควิด-19ตอนนี้เข้าปีที่ 4 แล้ว จึงไม่ควรคิดเหมือนช่วงระบาดแรกๆ เมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมา อย่าคิดแบบเดิม อย่าคิดโดยใช้ความรู้สึกเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา ต้องดูตามหลักฐานที่มีอยู่จริง ตอนนี้มีความรู้มากพอแล้ว นักวิชาการ อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญต่างเห็นตรงกันว่า ไม่ต้องกังวลมาก ทั้งในแง่สายพันธุ์ ก็อ่อนลงมาก ภูมิคุ้มกันก็มีเพิ่มขึ้น คนทั่วโลกก็มีภูมิคุ้มกันมากขึ้น เพราะฉีดวัคซีนกันมากกว่า 80% แล้ว จึงไม่น่ามีเหตุการณ์รุนแรง ขอให้มั่นใจว่า สธ.ไม่ได้ประมาทมีมาตรการและติดตามประเมินผลตลอด ขอให้มั่นใจว่า ไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติ
“ไทยไม่เลือกปฏิบัติ เพียงแต่ประเทศใดๆที่ให้มีการตรวจ RT-PCR ก่อนกลับเข้าประเทศตัวเอง ก็จะให้มีการทำประกันสุขภาพก่อนเข้าไทย เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล ส่วนจังหวัดท่องเที่ยว มาตรการที่ใช้ได้ดีคือโรงแรม มีระบบSHA Plus ก็ให้ทำให้เข้มข้นเช่นเดิม ฉีดวัคซีนพนักงาน ระบบระบายอากาศ ก็ให้ทำ ซึ่งกรมควบคุมโรคมีมาตรการเฝ้าระวังอยู่แล้ว” นพ.โอภาส กล่าว
นพ.โอภาส กล่าวอีกว่า กรณีวัคซีนให้นักท่องเที่ยว ไทยมีเพียงพอ และหากนักท่องเที่ยวจะฉีด ก็ยินดี แต่ต้องมีค่าใช้จ่าย เพราะไทยมีนโยบายเมดิคัลฮับ ส่วนจะฉีดแอสตร้าเซนเนก้า หรือไฟเซอร์ หรือชนิดใดก็เป็นเรื่องสมัครใจของนักท่องเที่ยว แต่มีค่าบริการอยู่ในรูปแบบเมดิคัลฮับ กรณีคนไทยขอให้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น 4 เดือนแล้วให้มาฉีดกระตุ้น โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง 608
ขอให้เชื่อมั่นระบบสาธารณสุขไทย
ต่อมาเวลา 14.30 น. ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ที่ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมรับนักท่องเที่ยวก็ไม่ได้เน้นว่าเป็นนักท่องเที่ยวจีนอย่างเดียว ถือว่าทุกประเทศทั่วโลกยังมีการติดเชื้ออยู่จำนวนมาก แต่ด้วยภูมิคุ้มกันแต่ละคนมีอยู่จากการฉีดวัคซีนหรือการติดเชื้อ ทำให้การแสดงอาการและการเสียชีวิตลดลงมาก
นายอนุทิน กล่าวอีกว่า จากการประชุมวันนี้ ในกรณีประเทศใดๆก็ตาม เช่น ประเทศจีนมีการกำหนดว่าผู้ที่จะเดินทางเข้าประเทศจีนจะต้องมีผลตรวจPCR 48 ชั่วโมงก่อนเข้าประเทศเขา เมื่อมีการตั้งกฎเกณฑ์นี้ขึ้นมา ไทยก็ต้องบอกว่า คนที่มาจากประเทศนั้นๆก็ต้องมีการซื้อประกันสุขภาพที่ครอบคลุมการรักษาโควิด-19มาก่อนเข้าไทย เพื่อที่หากผลตรวจเป็นบวก ก็ต้องรักษาในไทย ตรงนี้มีความจำเป็นต้องให้มีประกันสุขภาพ
เป็นการตั้งมาตรฐานของประเทศไทยว่าใครจะเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย ต้องมีการดำเนินการแบบนี้มาก่อน เชื่อมั่นว่าคนจะเดินทางออกนอกประเทศในวันนี้ จะเดินทางมาท่องเที่ยว ต้องพิจารณาเรื่องการซื้อประกันสุขภาพอยู่แล้ว เพราะการเจ็บป่วยในต่างประเทศเป็นเรื่องใหญ่ ก็คงต้องดูแลตัวเองอยู่แล้ว และเมื่อป่วยส่วนใหญ่ก็เข้ารับบริการเอกชน ที่สำคัญ ต้องเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขของประเทศไทย มีการฉีดวัคซีนเกือบ 150 ล้านโดส คนไทยมีภูมิคุ้มกันกว่า 75 % ทั้งจากวัคซีนและการติดเชื้อ
“ การพิจารณาไม่มีการเลือกปฎิบัติ กับชาติใดชาติหนึ่ง จากการพูดคุยกับทางการจีนก็ ระบุขอบคุณไทยที่ไม่ได้เลือกปฏิบัติ ยืนยันว่าการตัดสินใจเรื่องออกนโยบาย ไม่ได้มีการเกี๊ยะเซียะ กันแน่นอน วันนี้ขอให้มาฉีดวัคซีนเข็มที่ 4 ก็ใช้ชีวิตปกติ เพราะลดระดับจากโรคติดต่ออันตรายมาเป็นเฝ้าระวัง ก็ต้องเฝ้าระวัง และทุกอย่างสามารถปรับเปลี่ยนได้เป็นไปตามสถานการณ์แต่ละวัน”นายอนุทินกล่าว