สวนแรง ย้อนแย้ง "หนุนสุรา" แต่ "ค้านกัญชา"
โฆษกกมธ.วิสามัญร่างพรบ.กัญชากัญชง ค้านนำกัญชากลับเป็นยาเสพติด ชี้ทำคนไข้เข้าถึงยากมากขึ้น เกิดทุนใหญ่ผูกขาด สวนแรงย้อนแย้ง หนุนสุราทำไมค้านกัญชา แนะเร่งออกพรบ.ควบคุมดีกว่าย้อนกลับ
เมื่อวันที่ 23 พ.ค.2566 ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพรบ. กัญชากัญชง พ.ศ … บอกว่า ก่อนการปลดล็อกมีผู้ป่วยที่ใช้กัญชาแต่ไม่ได้รับกัญชาจากแพทย์จำนวนมากถึง 3.8 ล้านคน หลังปลดล็อกทำให้ไม่ถูกจำคุกหรือถูกรีดไถ จึงไม่เห็นด้วยกับการให้กัญชากลับไปเป็นยาเสพติด เพราะทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากกลายเป็นนักโทษ โดยมีตัวเลขการสำรวจพบว่า ในช่วงที่กัญชาเป็นยาเสพติด มีผู้ใช้กัญชานอกการจ่ายยาของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สูงถึง 95 % ในจำนวนนี้มี83% ใช้นอกข้อบ่งใช้จากประกาศ สธ. และแพทยสภา แปลว่า มีผู้ป่วยสามารถใช้ประโยชน์จากกัญชาได้มากกว่าที่มีการใช้โดยแพทย์ ถ้าเอากัญชากลับเป็นยาเสพติด คนกลุ่มนี้จะกลับไปเป็นนักโทษทันที เพราะไม่ได้อยู่ในการจ่ายยาของแพทย์
เมื่อกัญชาเป็นยาเสพติด แพทย์จ่ายยายากมาก เพราะในฐานะยาเสพติดจะมีขั้นตอนมากเป็นอุปสรรคในการเข้าถึงกัญชาทางการแพทย์ของประชาชน นอกจากนี้ การปลดล็อกกัญชา มีการลดใช้ยาแผนปัจจุบันถึง 58% ส่งผลกระทบต่อบริษัทยาโดยตรง และย้ำว่าการจะให้แพทย์ หรือแพทย์ไทยไปนั่งจ่ายยาในร้านขายกัญชานั้น ไม่สามารถทำได้แน่นอน เพราะว่าแพทย์จะต้องปฏิบัติหน้าที่ในสถานพยาบาล ไม่ใช่ร้านขายกัญชา และการที่กัญชาถูกกลับไปเป็นยาเสพติด ก็จะถูกผูกขาดกับทุนใหญ่ไม่กี่คน ที่มีความสามารถผลิตเป็นยา แล้วคนไทยก็จะเดือดร้อน
“กัญชาเสพติดยากกว่าเหล้าและบุหรี่ โดยเฉพาะเหล้าติดง่ายกว่ากัญชาถึง 2 เท่า และไม่มีสรรพคุณทางยาเหมือนกัญชา แต่ทำไมถึงอยู่ในร้านสะดวกซื้อที่อยู่ใกล้สถานศึกษาและควบคุมเรื่องเด็กและเยาวชนได้ ดังนั้น ถ้าพรรคก้าวไกลจะผลักดันเรื่องสุราก้าวหน้า ให้มีเสรีในการดื่มสุรา แล้วเหตุใดจัดการกับกัญชาทั้งที่มีสรรพคุณเป็นยามากกว่าบุหรี่และสุรา จึงมองว่าหลักการนี้ย้อนแย้งกัน ถ้าควบคุมเรื่องสุราเสรีไม่ได้ ก็คงต้องเอาสุรากลับไปเป็นยาเสพติดแล้วคุมด้วย ป.ป.ส. แต่ทำไมถึงทำเรื่องสุราก้าวหน้าได้”ปานเทพกล่าว
ปานเทพ กล่าวอีกว่า การปลดล็อกกัญชาเดินมาถูกต้องครึ่งทางแล้ว การควบคุมกัญชาไม่จำเป็นต้องเอากลับไปเป็นยาเสพติดที่มีกฎหมายคุมเข้มข้น ยากแก่การเข้าถึง แต่สามารถใช้กฎหมายควบคุมและจัดการคนทำผิดกฎหมาย สิ่งที่ควรทำคือการเร่งพิจารณาออกพรบ.กัญชากัญชง ให้จบ เพราะผ่านการพิจารณาจากตัวแทนของพรรคต่างๆ รวมถึงพรรคก้าวไกล ซึ่งในร่างพรบ.มีการกำหนดบทลงโทษกรณีทำผิดกฎหมายที่มากกว่าประกาศสธ. ไม่ใช่การเอากลับไปเป็นยาเสพติดแล้วมีผู้ป่วยเดือดร้อน ที่สำคัญ การนำกัญชาถูกกลับไปเป็นยาเสพติด ก็จะถูกผูกขาดกับทุนใหญ่ไม่กี่คน ที่มีความสามารถผลิตเป็นยา แล้วคนไทยก็จะเดือดร้อน
“คุณพิธารู้แก่ใจว่ากัญชาคืออะไร จึงมีการเสนอให้ใช้สันทนาการในปี 2562 และเสนอให้ไม่เป็นยาเสพติด ผมคิดว่าคุณพิธาควรเลือกหนทางในการพูดความจริงกับประชาชนในความรู้ที่ตัวเองมี ถ้าประชาชนไม่เข้าใจ ก็ให้ความรู้ที่ถูกต้อง ไม่ใช่ตัวเองรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร แต่กลับเสนอหนทางให้ประชาชนไม่เข้าใจ เพียงเพื่อคะแนนเสียงตัวเอง นั่นเท่ากับการทำให้สิ่งที่คุณพิธาเข้าใจถูกนำเสนอขัดแย้งกับสิ่งที่อยู่ในใจคุณพิธาเอง ดังนั้นถ้าคุณพิธาเลือกยืนหยัดให้ความเข้าใจประชาชน จะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมากในการใช้กัญชา” นายปานเทพ กล่าว
กรณที่กัญชากลับเป็นยาเสพติด แต่ให้มีการจำหน่ายกัญชาได้ เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ในการเปิดร้านขายกัญชา ภายใต้เงื่อนไขว่าเป็นร้านขายยาปกติ จะเจออุปสรรคอีกจำนวนมาก ยิ่งบอกว่าจะเปิดพื้นที่สันนาการได้ ต้องถามว่าได้ถามกับ ป.ป.ส. แล้วหรือยัง ตนคิดว่านายพิธายังไม่เข้าใจบริบทการเผชิญหน้ากับวงการแพทย์ วงการที่ได้รับประโยชน์หากกัญชาเป็นยาเสพติด
ผู้สื่อข่าวถามว่าถ้ากัญชากลับเป็นยาเสพติดแล้วให้ใช้ทางการแพทย์ จะกระทบต่อผู้ป่วยหรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า เมื่อปี 2562 มีการปลดล็อกกัญชาใช้เฉพาะทางการแพทย์ แล้วเมื่อปี 2564 ศูนย์ศึกษาปัญหายาเสพติดได้รวบรวมข้อมูลระหว่างปี 2563 – 2564 พบว่า คนส่วนใหญ่ใช้กัญชาโดยที่แพทย์ไม่ได้จ่าย ที่มีจำนวนมากพอที่เราต้องมาคิดว่าเขาจะสูญเสียอะไรหากกัญชาเป็นยาเสพติด หรือการใช้กัญชาจากตลาดมืดที่ไม่มีการตรวจสอบอะไรได้ ดังนั้น ถ้าจะเดินซ้ำรอยเดิมอีก ก็แปลว่าไม่ได้ฟังเสียงผู้ป่วย
กรณีกังวลว่าเด็กและเยาวชนจะเข้าถึงได้ จะมีข้อเสนออย่างไร นายปานเทพ กล่าวว่า เหล้าและบุหรี่เป็นสิ่งที่เสพติดง่ายกว่ากัญชา โดยเฉพาะบุหรี่ที่ติดง่ายกว่าถึง 2 เท่า และไม่มีสรรพคุณทางยาเหมือนกัญชา แต่ทำไมถึงอยู่ในร้านสะดวกซื้อที่อยู่ใกล้สถานศึกษาและควบคุมเรื่องเด็กและเยาวชนได้ ต่อมาเรื่องการควบคุมกัญชา ยืนยันว่าปัจจุบันมีการควบคุมการเข้าถึงของเด็กและเยาวชน โดยมีโทษตามประกาศสธ. ดังนั้น สิ่งที่ควรทำในวันนี้คือ เร่งพิจารณา ร่างพรบ.กัญชากัญชง พ.ศ. ... ให้จบ เพราะผ่านการพิจารณาจากตัวแทนของพรรคต่างๆ รวมถึงพรรคก้าวไกล ซึ่งมีการกำหนดบทลงโทษที่มากกว่าประกาศสธ. ไม่ใช่การเอากลับไปเป็นยาเสพติดแล้วมีผู้ป่วยเดือดร้อน
ถามต่อว่าหากกลับเป็นยาเสพติดแล้วผู้ประกอบการที่มีผลิตภัณฑ์จากกัญชา จะสามารถดำเนินการต่อได้หรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า ต้องเดือดร้อนแน่นอน เพราะทันทีที่ประกาศ กัญชาทั้งต้นจะเป็นยาเสพติดแน่นอน แม้กระทั่งใบที่ผสมในผลิตภัณฑ์อาหาร เครื่องสำอาง จากที่ผ่านการขึ้นทะเบียนจาก อย. แล้วก็กลับต้องเข้าไปผ่านคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดอีก จากที่จะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจ ก็กลับจะเป็นการถอยหลัง และเป็นเรื่องที่เสียหาย ซึ่งไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะผลิตภัณฑ์ที่ผ่าน อย. กว่า 3,000 รายการ ต่างมีความปลอดภัยในการผลิตแล้ว
“ถ้ากลับเป็นยาเสพติดคนเหล่านี้จะต้องทำลายสวนทิ้ง มีการเลิกจ้างงาน ยกเลิกการจำหน่ายผลิตภัณฑ์นั้นๆ ดังนั้น การนำกัญชาเป็นยาเสพติดอีกครั้ง ต้องคิดให้รอบด้านเพราะกระทบหลายมิติ ไม่ใช่กระทบคนที่เคยสูบกัญชาที่มีเพียง 5 ล้านคน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมามีจำนวนผู้บำบัดยาเสพติดจากกัญชาลดลงเหลือ 4 พันราย เมื่อเทียบกับยาบ้าที่มีมากกว่าแสนราย”ปานเทพกล่าว