ปมหมอจบใหม่ลาออก เพจดังเทียบชัดๆ วงการแพทย์ไทย = โอ่งก้นรั่ว

เพจ Drama-addict สะท้อนปัญหาเปรียบเทียบ วงการแพทย์ไทย = โอ่งก้นรั่ว ที่ไม่มีวันเต็ม จากประเด็น หมอจบใหม่แห่ลาออก โดยเฉพาะเคสของ หมอปุยเมฆ นภสร วีระยุทธวิไล จนกลายเป็นที่พูดถึงในสังคมล่าสุด ซึ่งในวันนี้ (6 มิ.ย.2566) เวลา 11.00 น. กระทรวงสาธารณสุข จะมีการแถลงข่าวปัญหาขาดแคลนแพทย์ในระบบสาธารณสุข ด้วยนั้น

สำหรับเพจ Drama-addict แอดมินผู้ดูแลเพจก็คือ จ่าพิชิต ขจัดพาลชน หรือ นพ.วิทวัส ศิริประชัย เคยเป็นอดีตแพทย์โรงพยาบาลรัฐ ได้โพสต์ข้อความสะท้อนปัญหาระบบวงการแพทย์และสาธารณสุข ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันที่ยังเหมือนเดิม ไม่มีความเปลี่ยนแปลง

วงการแพทย์ไทย นับแต่อดีตตั้งแต่รุ่นก่อนจ่าจะเรียนจบมา จนถึงหลังจ่าลาออกจากราชการมาจนถึงปัจจุบัน ก็ยังเป็น โอ่งก้นรั่ว เหมือนเดิม

โอ่งก้นรั่วที่ว่านี้ หมายถึง การที่แพทย์ลาออกจากระบบราชการเยอะมาก มีข้อมูลว่า ปีนึง แพทย์จบใหม่ลาออกจากราชการ 50% (จากจำนวนที่จบมา) ซึ่งมีหลายสาเหตุ เช่น เรื่องครอบครัว เรื่องสุขภาพ เรียนต่อ หรือไม่พอใจการบริหารจัดการ งานโหลดจัด เงินค้างจ่าย และการดูแลบุคลากรของรัฐ ซึ่งอันนี้เป็นสาเหตุหลักที่แพทย์ลาออกจากระบบซะมาก

จ่าพิชิต เล่าต่อว่า ช่วงนั้นก็มีปัญหาหมอลาออกจากระบบเยอะ ตอนนั้นกำลังการผลิตแพทย์ปีละประมาณ 1,000 คน ปรากฏว่าพอหมอลาออกเยอะ จึงทำการแก้ปัญหาโดยการเพิ่มอัตราการผลิตเป็นสองเท่าคือจบเป็นปีละ 2,000 คน อย่างไรก็ตาม แต่หมอจบใหม่ก็ลาออก 50% อยู่ดี เพราะปัญหาเดิมที่ทำให้หมอลาออก ไม่ได้รับการแก้ไข ผลิตได้เท่าไหร่หมอก็ลาออก และต่อให้ผลิตยังไงก็ไม่เพียงพอกับจำนวนคนไข้ที่เพิ่มขึ้น เพราะเทียบกับ 10 ปีก่อน ยอดผู้ป่วยที่ไปใช้บริการ รพ. เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า แต่กำลังการผลิตหมอเพิ่มขึ้น 2 เท่า และลาออก 50% ทุกปีๆ ดังนั้น รพ.รัฐ จึงมีคนไข้คับคั่ง เพราะหมอไม่มีวันเพียงพอกับคนไข้

เรื่องนี้ซึ่งพอหมองานเยอะ ทนไม่ไหว แถมค้างจ่ายตกเบิก ออกมาร้องเรียนซึ่งสมัยนั้น จ่าพิชิต บอกว่าตอนนั้นโพสต์ลงพันทิป เพราะเข้าเวรคนเดียวไปครึ่งปี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

- 'หมอจบใหม่ลาออก'งานหนักชั่วโมงการทำงานมาก-อึดอัดกับระบบ-เครียด

- เช็คจำนวนแพทย์ไทย ปี 66 ล่าสุด เหลือหมอกี่คน หลังเกิดกระแสหมอจบใหม่ลาออก

- ประสบการณ์ 'หมอปุยเมฆ' สาเหตุยื่นใบลาออกจาก รพ.รัฐ เผยไม่แฟร์กับคนทำงาน

น้องๆหมอที่กล้าออกมาโวย ก็จะถูกจัดการ ถูกเรียกไปสั่งสอน อบรม ปิดปาก สั่งให้เงียบ อย่าพูด อย่าวิจารณ์ ไม่งั้นเดี๋ยวถูกย้าย (อันนี้เคยโดนมากับตัวแล้ว) แล้วผู้หลักผู้ใหญ่ ก็จะไปเป่าหูผู้บริหารระดับสูงๆขึ้นไปว่า ไม่มีปัญหาแบบที่เด็กพูดหรอกท่าน เด็กมโนไปเอง แล้วผู้บริหารระดับสูงบนหอคอยงาช้าง ที่ไม่เคยลงพื้นที่ แต่เหมือนตรัสรู้ทุกสรรพสิ่งจากการฟังผู้บริหารระดับล่างๆพูด ก็จะลงพื้นที่ไปสั่งสอนหมอๆที่โวยวายว่างานหนัก ว่าทำไมไม่รู้จักอดทน ทำไมไม่รู้จักเสียสละ จิตวิญญาณของความเป็นหมอมันหายไปไหน

สั่งสอนเสร็จก็กลับหน่วยงาน ปล่อยให้น้องๆหมอที่ทำงานหนัก จงทำงานหนักต่อไป ทนไม่ได้ ก็ตาย หรือลาออก

ที่เขียนมาทั้งหมดเป็นเรื่องจริงที่แพทย์ไทยทนทุกข์มานานแล้วกับระบบบริหารจัดการ ที่ไม่เคยรับฟังเสียงของตัวเล็กตัวน้อยระดับผู้ให้บริการเลย

จ่าพิชิต ทิ้งท้ายว่า ขอให้พรรคร่วมรัฐบาลพรรคใดก็ตาม ที่จะมาคุมกระทรวงสาธารณสุขในรัฐบาลต่อไป โปรดรับฟังเสียงของแพทย์ตัวเล็กๆ ผู้เสียสละเพื่อประชาชนจริงๆ โปรดอย่าฟังเสียงของหอคอยงาช้างที่ได้แต่ชี้นิ้วสั่งให้แพทย์ตัวเล็กๆเสียสละ เพราะมิฉะนั้น คุณจะไม่มีทางรับทราบปัญหาที่แท้จริงของวงการแพทย์ไทยเลย