5 รูปแบบจ้างงานใหม่ แก้ปัญหาแพทย์ลาออก
งานวิจัยเผย 5 รูปแบบจ้างงานใหม่ รักษาคนไว้ในระบบราชการ แก้ปัญหาบุคลากรทางการแพทย์ลาออก เฉลี่ยปีละกว่า 400 คน หลังเจอภาระงานหนัก
Keypoints:
- รพ.สังกัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) 65 แห่งมีภาระงานนอกเวลาเกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ที่เป็นมาตรฐานโลก ขณะที่ระบบมีการสูญเสียแพทย์ลาออกและเกษียณเฉลี่ยปีละกว่า 600 คน
- ข้อสรุปร่วมจากการหารือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.)และสธ. เห็นชอบร่วมกันในการแก้ปัญหาแพทย์ลาออกและกำลังคนทางการแพทย์ 5 ข้อหลัก
- งานวิจัยออกแบบการจ้างงานบุคลากรทางการแพทย์ใหม่ 5 รูปแบบ รักษากำลังคนไว้ในระบบราชการ ช่วยแก้ปัญหาแพทย์ลาออก
ภาระงาน-แพทย์ลาออก
ผลการสำรวจของสธ.ระหว่างวันที่ 15-30 พ.ย.2565 พบว่า
- รพ.ที่ปฏิบัติงาน นอกเวลาเกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ มี 65 แห่ง
- มากกว่า 64 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ 9 แห่ง
- มากกว่า 59-63 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ 4 แห่ง
- มากกว่า 52-58 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ 11 แห่ง
- มากกว่า 46-52 ชั่วโมงต่อสัปดาห์18 แห่ง
- และมากกว่า 40-46 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ 23 แห่ง
ส่วนข้อมูลการลาออกของแพทย์ 10 ปี ย้อนหลัง ตั้งแต่ปี 2556-2565 ข้อมูล ณ 1 พ.ย.2565
- มีแพทย์บรรจุรวม 19,355 คน
- แพทย์ใช้ทุนปี 1 ลาออก 226 คน คิดเป็น 1.2 % เฉลี่ยปีละ 23 คน
- แพทย์ใช้ทุนปีที่ 2 ลาออก 1,875 คน คิดเป็น 9.69 % เฉลี่ยปีละ 188 คน
- แพทย์ใช้ทุนปีที่ 3 ลาออก 858 คน คิดเป็น 4.4 % เฉลี่ยปีละ 86 คน
- แพทย์ลาออกหลังพ้นภาระชดใช้ทุน 1,578 คน คิดเป็น 8.1 % เฉลี่ยปีละ 158 คน
- ภาพรวมเฉลี่ยลาออกปีละ 455 คนและเกษียณปีละ 150-200 คน รวมหลุดออกจากระบบประมาณปีละ 655 คน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
เจาะปัญหากำลังคน ก่อนถึงจุด 'แพทย์ลาออก'
Co-Payment ทางออกปัญหาหมอลาออกและปัญหาสาธารณสุขทั้งระบบ
5 แนวทางแก้แพทย์ลาออก
ในการประชุมร่วมของก.พ.และสธ.ล่าสุด มีข้อสรุปของการนำเสนอที่ประชุมเห็นชอบใน 5 ประเด็น ได้แก่
1.การหาเพิ่มจำนวนตำแหน่งของข้าราชการให้ได้อยู่ในกรอบขั้นสูง ซึ่งแต่ละวิชาชีพจะไม่กันโดยมีหลักคิดและวางไว้ในทุกระดับและมีการกระจาย อาทิ แพทย์ อยู่ที่ 35,000 คน พยาบาล 140,000 คน และวิชาชีพอื่นๆ
2.ความก้าวหน้าที่เป็นขวัญกำลังใจ ที่ประชุมบรรลุวัตถุประสงค์ โดยเฉพาะวิชาชีพพยาบาลที่ปัจจุบันตันอยู่ที่ชำนาญการหรือซี 7 รอเรื่องของการปรับเป็นชำนาญการพิเศษหรือซี 8
3.การจัดสรรบุคลากรให้เพียงพอ สนับสนุนเรื่องของการลาฝึกอบรมแล้วอยู่ในพื้นที่ภูมิภาค เช่น รพ.สังกัดสธ.ที่มีความสามารถในการเป็นศูนย์ฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านได้ ไม่ถือเป็นการลาศึกษา แต่เป็นการไปทำงานและสามารถที่จะอยู่ปฏิบัตงานฝึกอบรมและได้วุฒิบัตร
4.การจัดสรรแพทย์เพิ่มพูนทักษะหรือแพทย์ใช้ทุนปี 1 ให้สธ.อย่างเพียงพอต่อภาระงานที่ประมาณปีละ 85 %
5.ระยะยาว ขยายขยายจำนวนของนักศึกษาหลักสูตรแพทยศาสตร์ศึกษา โครงการผลิตแพทย์เพื่อชาวชนบท หรือ CPIRD ให้ได้ปีละ 2,000 คน
3 แรงจูงใจคงอยู่ระบบราชการ
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) จึงร่วมกับทีมวิจัยจากบริษัท ลูกคิด จำกัด ทำการศึกษาวิจัยเรื่อง “การออกแบบการจ้างงานและสิทธิประโยชน์รูปแบบใหม่ที่ตอบสนองต่อความต้องการในอนาคตเพื่อสร้างแรงจูงใจกำลังคนสุขภาพของภาครัฐ” เพื่อพัฒนาทางเลือกรูปแบบการจ้างงานและสิทธิประโยชน์ใหม่ๆ สำหรับวิชาชีพสุขภาพ และเพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความต้องการเข้ามาทำงานหรือคงอยู่ในระบบราชการ โดยนำกระบวนการคิดเชิงออกแบบมาใช้เป็นกรอบแนวคิดในการวิจัย
และมีกลุ่มเป้าหมายคือบุคลากรด้านสุขภาพ 4 วิชาชีพหลัก ได้แก่ แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร และพยาบาล ซึ่งจากงานวิจัยพบประเด็นหลัก 3 เรื่องที่มีผลต่อการเข้ามาทำงานหรือคงอยู่ในระบบราชการ โดยทั้ง 4 วิชาชีพที่เป็นกลุ่มตัวอย่างได้ให้น้ำหนักแต่ละประเด็นต่างกัน แต่คงมีจุดร่วมที่เชื่อมโยงกัน ได้แก่
1. รายได้และค่าตอบแทนในโรงพยาบาลรัฐ เป็นปัจจัยในการจูงใจให้คนต้องการมาทำงานในระบบราชการ เนื่องจากมองว่ามีความมั่นคงมากกว่าโรงพยาบาลเอกชน ถึงจะได้ค่าตอบแทนในอัตราที่น้อยกว่า หรือไม่สอดคล้องกับภาระงานที่ทำก็ตาม รวมถึงเรื่องสวัสดิการการรักษาพยาบาลที่ครอบคลุมทั้งตนเองและครอบครัว เงินบำนาญ
ตลอดจนการคุ้มครองการฟ้องร้องกรณีเกิดความผิดพลาดในการรักษา แต่คนรุ่นใหม่ที่เลือกจะไปอยู่ภาคเอกชนมากกว่า โดยมองว่าความมั่นคงคือการได้ทำสิ่งที่ชอบนอกเหนือจากการทำงาน และระบบเอกชนก็ได้ค่าตอบแทนสูงกว่าและสอดคล้องกับภาระงานมากกว่า
2. ภาระงานของระบบราชการยังมีงานอื่นที่ไม่เกี่ยวกับการแพทย์ เช่น งานเอกสาร งานคุณภาพ งานบริหาร ฯลฯ ซึ่งเป็นงานที่ต้องทำ ไม่สามารถปฏิเสธได้ และเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่บั่นทอนประสิทธิภาพในการทำงานระยะสั้น และส่งผลต่อกำลังใจในการทำงานระยะยาว นอกจากนั้นยังส่งผลต่อภาระงานที่มีมากจนรบกวนเวลาส่วนตัวนอกเหนือจากการทำงาน ซึ่งไม่สอดคล้องกับแนวคิดในการทำงานและการใช้ชีวิตในแบบ Work-Life Balance ซึ่งเป็นประเด็นที่บุคลากรรุ่นใหม่ให้ความสำคัญ
3. การเติบโตในวิชาชีพ เป็นเรื่องสำคัญของคนทำงานในยุคปัจจุบันที่มองหาความก้าวหน้าในการทำงาน ซึ่งจะสัมพันธ์กับระบบประเมินบุคลากรทางการแพทย์ ที่ในโรงพยาบาลรัฐมักเป็นการประเมินจากหัวหน้าแบบให้โควตา โดยในแต่ละรอบของการประเมินจะมีการจำกัดจำนวนคนในการให้ผลการประเมินที่ส่งผลกับระดับการเลื่อนขั้นหรือค่าตอบแทนต่างๆ และบางกรณีอาจพบผลการประเมินที่ไม่สอดคล้องกับผลงานและศักยภาพที่แท้จริงของคนทำงาน รวมถึงหลักเกณฑ์การประเมินที่ไม่ชัดเจนด้วย
5 รูปแบบจ้างงานใหม่
จากประเด็นที่พบนำไปสู่กระบวนการคิดและวิเคราะห์เชิงออกแบบ โดยมีการระดมความเห็นจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นบุคลากรด้านสุขภาพ และผู้ใช้บุคลากร เช่น เจ้าหน้าที่บริหารงานบุคคล รองผู้อำนวยการโรงพยาบาล ผู้อำนวยการโรงพยาบาล เป็นต้น เพื่อสร้างและทดสอบต้นแบบ จนได้เป็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย 5 ประเด็น ซึ่งเป็นทางเลือกรูปแบบการจ้างงานสำหรับวิชาชีพสุขภาพ ดังนี้
1. จ้างงานแบบยืดหยุ่น โดยเพิ่มตัวเลือกการจ้างงานที่เป็นแบบไม่ประจำและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
2.จ้างงานนอกเวลาแบบเอกชน โดยเพิ่มรูปแบบการจ้างงานบุคลากรแบบเอกชนในการให้บริการนอกเวลา
3.จ้างงานผ่านเขตสุขภาพ เปลี่ยนผู้จ้างบุคลากรสาขาเฉพาะทาง เป็นเขตสุขภาพแทนโรงพยาบาล
4. จ้างงานผ่านหน่วยบริการนอกระบบของรัฐ โดยขยายการอุดหนุนงบประมาณด้านสาธารณสุขไปที่หน่วยบริการเอกชนด้วย
5. ปรับงบประมาณจ้างงาน โดยปรับเปลี่ยนการให้งบการจ้างบุคลากรในโรงพยาบาลจากงบรายหัวเป็นเงินงบประมาณ
นำร่องใน Sandbox
ผศ.ดร.จรวยพร ศรีศศลักษณ์ รองผู้อำนวยการ สวรส. กล่าวว่า ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายจากงานวิจัยสามารถเริ่มต้นทำได้ในรูปแบบของพื้นที่ทดลอง (Sandbox) เพื่อให้ผู้กำหนดนโยบายสามารถรวบรวมข้อเสนอแนะภายหลังการทดลองใช้ และนำไปพัฒนาให้มีประสิทธิภาพในบริบทที่ใหญ่ขึ้นต่อไป หรืออาจพิจารณาปรับรูปแบบการบริหารโรงพยาบาลเป็นแบบองค์การมหาชน เช่นเดียวกับโรงพยาบาลบ้านแพ้วที่มีความคล่องตัวและอิสระในการตัดสินใจจ้างบุคลากร โดยโรงพยาบาลสามารถกำหนดกรอบอัตราจ้างงานของตนเอง ซึ่งอาจจะช่วยบรรเทาปัญหาแพทย์ลาออกจากระบบสุขภาพ
“รูปแบบการจ้างงานและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ก็เป็นอีกประเด็นสำคัญที่ควรทบทวนและมีการออกแบบการจ้างงานที่สามารถตอบโจทย์ของบริบทบุคลากรในปัจจุบัน ซึ่งงานวิจัยดังกล่าวได้เสนอวิธีที่จะรักษาบุคลากรไว้โดยเสนอรูปแบบการจ้างงานที่ต่างไปจากกรอบระเบียบเดิม เพื่อจูงใจให้บุคลากรด้านสุขภาพยังคงอยู่ในระบบและเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาระบบสุขภาพ”ผศ.ดร.จรวยพรกล่าว