คนติด“เชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ”ตายเพิ่ม ไร้ยากลุ่มใหม่ๆรักษามานานกว่า 30 ปี
"ดื้อยาต้านจุลชีพ" ทำคนเสียชีวิตปีละ 1.3 ล้านคน แนวโน้มสูงขึ้น ไม่มียากลุ่มใหม่รักษาเชื้อดื้อยานานกว่า 30 ปี ไทยเดินหน้าแผนฯฉบับที่ 2 เป้าลดการให้ใช้ยาปฏิชีวนะกลุ่มเอ็นเสดไม่น้อยกว่า 60% -ลดการใช้ยาต้านจุลชีพในภาคการเกษตรและเลี้ยงสัตว์ ไม่น้อยกว่า 50 % ภายในปี 2027
KEY
POINTS
- การดื้อยาต้านจุลชีพ หรือAMRเป็นวิกฤติร่วมกันของทุกประเทศทั่วโลก หากไม่แก้ไขจะมีคนเสียชีวิตปีละกว่า 1.3 ล้านคน ขณะที่อัตราการดื้อยาเพิ่มสูงขึ้น แต่กลับไม่มียาปฏิชีวนะกลุ่มใหม่ๆ ในการรักษาเชื้อดื้อยามานานกว่า 30 ปีแล้ว
- ประเทศไทยไทยสามารถลดปริมาณการใช้ยาต้านจุลชีพในมนุษย์ลง 33.6% และลดปริมาณการใช้ยาต้านจุลชีพในสัตว์ลง 39.3 % ตามแผนฯจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพ
- เดินหน้าแผนปฏิบัติการด้านการดื้อยาต้านจุลชีพแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ.2566-2570 กำหนดเป้าการให้ใช้ยาปฏิชีวนะในกลุ่มเอ็นเสดไม่น้อยกว่า 60% ,ลดการใช้ยาต้านจุลชีพในภาคการเกษตรและเลี้ยงสัตว์ ไม่น้อยกว่า 50 %ภายในปี 2027
ประเทศไทยมีแผนยุทธศาสตร์การจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพแห่งประเทศไทย พ.ศ.2560-2565 ฉบับแรก ทำให้สามารถลดปริมาณการใช้ยาต้านจุลชีพในมนุษย์ลง 33.6% และลดปริมาณการใช้ยาต้านจุลชีพในสัตว์ลง 39.3 % ดำเนินการได้ตามแผนที่กำหนด
วารสาร THE LAMCET ได้จัดอันดับประเทศที่มีการบริหารการจัดการแผนที่ดีในการแก้ปัญหาดื้อยาต้านจุลชีพ โดยประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 9 จาก 114 ประเทศ แต่ยังมีความท้าทายอีกมาก เช่น อัตราการดื้อยาต้านจุลชีพและการป่วยจากการติดเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพยังเพิ่มขึ้น ,ข้อมูลสถานการณ์การดื้อยาต้านจุลชีพในอาหารและสิ่งแวดล้อมยังไม่ชัดเจน และประชาชนและเกษตรกรยังมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องและมีการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างไม่เหมาะสม
เชื้อดื้อยาต้านจุลชีพคร่าชีวิตปีละ 1.3 ล้านคน
เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.2567 ที่โรงแรมรามา การ์เด้นส์ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข กล่าวในการเป็นประธานเปิดการสัมนาระดับชาติ เรื่อง การดื้อยาต้านจุลชีพ ครั้งที่ 4 และบรรยายพิเศษ เรื่อง “ความมุ่งมั่นและการเป็นผู้นำทางการเมือง:กุญแจสู่ความสำเร็จในการแก้ปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพ”ตอนหนึ่งว่า การดื้อยาต้านจุลชีพหรือAMRเป็นวิกฤติร่วมกันของทุกประเทศทั่วโลก หากไม่แก้ไขจะมีคนเสียชีวิตปีละกว่า 1.3 ล้านคน และอาจเพิ่มเป็น 10 ล้านคนในอีก 30 ปี
นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบวงกว้างทั้งในคน สัตว์ อาหารและสิ่งแวดล้อม ทำให้ทุกคนอยู่ในความเสี่ยงของการติดเชื้อดื้อยา และความน่ากังวลอีกอย่าง คือ ขณะที่อัตราการดื้อยาเพิ่มสูงขึ้น แต่กลับไม่มียาปฏิชีวนะกลุ่มใหม่ๆ ในการรักษาเชื้อดื้อยามานานกว่า 30 ปีแล้ว เพราะการคิดค้นชนิดใหม่ถูกมองว่าเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า หมายความประชาชนทุกคนกกำลังอยู่กับความเสี่ยง หากติดเชื้อดื้อยาก็จะไม่มียารักษา และอาจเสียชีวิต
เป้าแผนฯดื้อยาต้านจุลชีพแห่งชาติ
รัฐบาลให้ความสำคัญและสนับสนุนการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้มาโดยตลอด ซึ่งแผนยุทธศาสตร์การจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพของประเทศไทย 2560-2565 ฉบับที่1 ได้กำหนดเป้าหมายไว้สูงและท้าทายอย่างมาก ที่ผ่านมาบรรลุเป้าประสงค์ 3 จาก 5 ข้อ แม้จะไม่ได้บรรลุทั้งหมดแต่การตั้งเป้าหมายที่ท้าทายทช่วยผลักดันการทำงานให้ก้าวหน้ามากกว่าที่คาดหวังไว้
สำหรับแผนปฏิบัติการด้านการดื้อยาต้านจุลชีพแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ.2566-2570 จะเป็นการดำเนินการต่อเนื่องจาแผฯฉบับรแก โดยมีเป่าประสงคืสอดคล้องกับเป้าหมายระดับโลกในหลายข้อ เช่น
- เป้าหมายระดับโลกกำหนดเรื่องการให้ใช้ยาปฏิชีวนะในกลุ่มเอ็นเสดไม่น้อยกว่า 80 % ในปี 2030 ในส่วนของประเทศไทยกำหนด ไม่น้อยกว่า 60% ภายในปี 2027
- และเป้าหมายการลดการใช้ยาต้านจุลชีพในภาคการเกษตรและเลี้ยงสัตว์ ระดับโลกกำหนด ลดลง30 % ในปี 2030 ของประเทศไทยกำหนดไม่น้อยกว่า 50 %ภายในปี 2027
ตนคิดว่าการแก้ปัญหาเรื่องนี้ทั้งระดับประเทศและระดับโลกควรมีการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน และวัดผลได้ ในการประชุมปีนี้จึงควรสนับสนนุให้ปฏิญญาทางการเมืองเรื่อง AMR มีการกำหนดเป้าหมายร่วมที่สำคัญและมีกรอบการทำงานที่ชัดเจน เพื่อให้การทำงานระดับโลกและระดับประเทศมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกันมากขึ้น
รวมถึง ความมุ่งมั่นของฝ่ายการเมืองระดับประเทศและระดับโลกสำคัญอย่างยิ่ง หากเข้มแข็งจะสามารถส่งต่อนโยบายที่ชัดเจนไปยังหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้เกิดการเปลี่บนแปลงและแก้ไขปัญหาในทุกระดับ และเสนอให้มีการติดตามความก้าวหน้า ปัญหา อุปสรรคด้วย ทั้งนี้ ประเทศไทยมีความมุ่งมั่นร่วมกับประชาคมโลกเพื่อลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามของการดื้อยาต้านเชื้อจุลชีพ
ยาแก้ปวด แก้อักเสบ สะสมในสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ขณะที่นายกุศล โชติรัตน์ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) กล่าวว่า 7ปีที่ผ่านมา ทส.ร่วมขับเคลื่อนแก้ไขปัญหา ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ฯ 2560-2565 และดำเนินการต่อเรื่องถึงปัจจุบันในแผนฯฉบับที่ 2 โดยกรมควบคุมมลพิษเป็นหน่วยงานหลักเฝ้าระวังการดื้อยาในด้านสิ่งแวดล้อม
การปนเปื้อนยาต้านจุลชีพในสิ่งแวดล้อมเป็นปัญหาสำคัญระดับโลกทั้งการปนเปื้อนในน้ำทิ้งจากชุมชน ,รพ.และน้ำผิวดิน ได้แก่ ยาแก้ปวด แก้อักเสบ และยาลดไขมันที่ใช้ในการรักษาคนและสัคว์ ยาเหล่านี้เป็นภัยต่อสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศและพบมีการสะสมเพิ่มมากขึ้นในระดับสิ่งแวดล้อม
ทส.มอบให้กรมควบคุมมลพิษ รวมบรวมข้อมูลและเฝ้าระวังจากแหล่งน้ำเสียชุมชน และรพ. ตั้งแต่ปี 2563 ถึงปัจจุบันได้ติดตามตรวจสอบและเฝ้าระวังการดื้อยาต้านจุลชีพในสิ่งแวดล้อมจากแหล่งน้ำผิวดิน ได้แก่ แม่น้ำเจ้าพระยา แม้น้ำท่าจีน และระบบบำบัดน้ำเสียรวมของชุมชน เพื่อสำรวจการปนเปื้อนและการแพร่กระจายของเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ นำผลมาจัดทำแนวทางมาตรการเพื่อควบคุม ป้องกันและแก้ปัญหา และเป็นข้อมูลสนับสนุนในการดำเนินงาน โดยตรวจวัดวิเคราะห์เชื้อดื้อยา 3 ชนิด เพื่อหาการปนเปื้อน การแพร่กระจายและความชุกชุมของเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพในแม่น้ำ
ลดใช้ยาปฏิชีวนะในสัตว์ได้ 30 %
น.สพ.ประภาส ภิญโญชีพ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า แผนยุทธศาสตร์การจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพแห่งประเทศไทย พ.ศ.2560-2565 ในยุทธศาตร์ที่ 4 การป้องกัน ควบคุมเชื้อดื้อยาและการควบคุมกำกับดูแลการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างเหมาะสมในภาคเกษตรและการเลี้ยงสัตว์
จากการดำเนินการสามารถลดการใช้ยาในสัตว์ได้ลงมากกว่า 30 % ซึ่งเกิดจากการดำเนินการ่วมของอนุกรรมการตจัดการตื้อยาในภาการเกษตรและการเลี้ยงสัตว์และทุกภารส่วนที่เกี่ยวข้องในการจัดการดื้ยาอย่างบูรณาการ ภายใต้หลักการสุขภาพหนึ่งเดียว
ที่ผ่านมา ภาคปศุสัตว์มีการยกเลิกการใช้ยาปฏิชีวนะทุกชนิดในการเลี้ยงสัตว์ทั้งสารเร่งการเจริญเติบโต มีการออกกฎหมายและการกำกับดูแลการใช้อาหารสัตว์ที่ผสมยา ที่จะใช้ยาปฏิชีวนะผสมลงในอาหารสัตว์มีกฎหมายควบคุม มีการสั่งใช้ยาโดยสัตวแพทย์ทั้งในการเลี้ยงสัตว์หรือสถานบำบัดโรคสัตว์ มีการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ปลอดการใช้ยาปฏิชีวนะ ควบคู่กับการติดตาม เฝ้าระวังยาต้านจุลชีพโดยแล็ป
ภาคการประมง มีการส่งเสริมให้นักวิชาการให้ความรู้ผู้ลี้ยง ภาคเกษตร ให้ความรู้เกษตรกรในการใช้ยาต้านจุลชีพโดยเฉพาะการกำจัดโรคคลีนนิ่งในส้ม ภาคมาตรฐานสินค้าเกษตร มีการออกใบรับรองมาตรฐานการเกษตรผลิตที่ดีทั้งในสัตว์บก สัตว์น้ำ และพืช
ภาคสัตว์เลี้ยง บรรจุหลักสูตรการเรียนการสอนนักศึกษาสัตวแพทย์บัณฑิตในการใช้ยาต้านจุลชีพในสัตว์เลี้ยงอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้ที่จบการศึกษาและไปประกอบวิชาชีพทั้งด้านสัตว์เลี้ยง ภาคอุตสาหกรรมมีความรู้ในการใช้ยาอย่างมีเหตุและมีผลในกากประกอบวิชาชีพ