10 ปีไทยลด "แม่วัยรุ่น" ลง 1 เท่าตัว มุ่งเป้าใหม่

10 ปีไทยลด "แม่วัยรุ่น" ลง 1 เท่าตัว มุ่งเป้าใหม่

10 ปีไทยลดอัตราแม่วัยรุ่นลง 1 เท่าตัว ทะลุเป้า จาก 53.4 เหลือ 21 ต่อหญิงอายุ15-19 ปี 1,000 คน มุ่งเป้าใหม่เหลือไม่เกิน 15 ภายในปี 70

เมื่อวันที่ 14 ส.ค.2567 ที่โรงแรมแกรนด์ ริชมอนด์ จ.นนทบุรี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข รองประธานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพคนที่ 1 ในฐานะประธานคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น กล่าวในการเป็นประธานเปิดการประชุมสุขภาวะทางเพศระดับชาติ ครั้งที่  4 ภายใต้แนวคิด “Strong Community for Healthy Sexuality :ชุมชนเข้มแข็งสร้างสุขภาวะทางเพศ”ว่า  สุขภาวะทางเพศมีหลากหลายมิติเกี่ยวพันกับประชาชนทุกเพศทุกวัย

ทั้งเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคเอดส์ การยุติการตั้งครรภ์ ความรุนแรงทางเพศ รวมถึงการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นที่เป็นปัญหาสำคัญระดับโลก องค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้การลดอัตราการคลอดในวัยรุ่นเป็น 1 ในตัวชี้วัดของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)

แม่วัยรุ่นลดลง 1 เท่าตัว

ในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมาการขับเคลื่อนเพื่อแก้ไขปัญหาสุขภาวะทางเพศในระดับชุมชน ซึ่งความมุ่งมั่นในการทำงานของทุกภาคส่วน ส่งผลให้ใน 10 ปีที่ผ่านมา อัตราการคลอดในวัยรุ่นของไทยลดลงกว่า1 เท่าตัวเหลือ 21 ต่อประชากรหญิงอายุ 15-19 ปี 1,000 คน ในปี 2565 จากเดิมอยู่ที่ 53.4 ต่อประชากรหญิงอายุ 15-19 ปี 1,000 คน ในปี 2555

อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการป้องกันฯ ได้ปรับค่าเป้าหมายให้ท้าทายขึ้น ตั้งเป้าลดอัตราการคลอดของวัยรุ่นไม่เกิน 15 ต่อประชากรหญิง อายุ 15-19 ปี 1,000 คน ภายในปี 2570 รวมถึงส่งเสริมการเกิดที่มีคุณภาพ ความท้าทายในยุคเด็กเกิดน้อย สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์ ขณะเดียวกันยังมีเด็กส่วนหนึ่งที่เกิดจากแม่วัยรุ่น และไม่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างเหมาะสม จึงต้องร่วมกันดำเนินงานให้ทุกชีวิตเติบโตอย่างมีคุณภาพ เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ

ห่วงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในกลุ่มวัยรุ่น

“ขณะนี้มีสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง คือ การติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในกลุ่มวัยรุ่นที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะโรคซิฟิลิสในกลุ่มเยาวชนอยู่ที่ 91.2 ต่อประชากรแสนคน ในปี 2566 เพิ่มขึ้นจาก 27.9 ต่อประชากรแสนคน ในปี  2561 หรือเพิ่มขึ้น 3 เท่า สอดคล้องกับพฤติกรรมไม่ใช้ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ ทำให้เสี่ยงติดเชื้อ HIV  ซึ่งในปี 2565 มีผู้ติดเชื้อรายใหม่กว่า 9 พันคน โดยเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นเยาวชน”นายสมศักดิ์กล่าว

ด้านนพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2548 สสส. ร่วมกับภาคีเครือข่ายสุขภาวะทางเพศ ทำงานสร้างทัศนคติเชิงบวกเรื่องเพศ เพื่อลดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ และการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ซึ่งการตั้งครรภ์ในวัยเรียนในอดีต ฝ่ายหญิงอาจต้องออกจากการเรียนเมื่อยังไม่สามารถหาเลี้ยงชีพได้ ต้นทุนชีวิตไม่มากพอ มีโอกาสเสี่ยงสูงที่เด็กจะได้รับการดูแลที่ไม่เหมาะสม ทั้งด้านพัฒนาการ และด้านจิตใจ ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของเด็กและครอบครัว

สสส. จึงเร่งสานพลังร่วมกับทุกหน่วยงาน เพื่อเพิ่มการเข้าถึงสุขอนามัยเจริญพันธุ์ที่ปลอดภัย ทั้งการรณรงค์ให้วัยรุ่นมีทักษะการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย มีความรู้ทางเลือกคุมกำเนิด

 รวมถึงทางเลือกในเรื่องการตั้งครรภ์ไม่พร้อม โดยผลักดัน พ.ร.บ.การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2559 แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ฉบับที่ 28 มาตรา 301 และ 305 ที่เกี่ยวกับเรื่องการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย ลดอันตรายและการเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อน รวมถึงสนับสนุนให้ 1663 สายด่วนให้คำปรึกษาเรื่องการตั้งครรภ์ไม่พร้อมให้อยู่ภายใต้สิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพ

ไทยอยู่ในช่วงเวลาที่ท้าทาย

 “ไทยอยู่ในช่วงเวลาที่ท้าทาย ต้องทำให้วัยรุ่นมีทักษะในการป้องกัน ปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่พร้อม ชะลอการเข้าสู่ช่วงเวลาของการเป็นพ่อแม่ในวัยเรียน เพราะการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นส่งผลต่ออนาคต สังคมและชุมชนจึงต้องร่วมสนับสนุนโอกาสการเข้าถึงองค์ความรู้เรื่องสุขภาวะทางเพศ รวมถึงส่งเสริมการเข้าถึงสุขภาพอนามัยเจริญพันธุ์ที่ปลอดภัย เพื่อให้ทุกคนได้รับสวัสดิการที่เกี่ยวข้อง กรณีเด็กมีการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น ทัศนคติของคนรอบข้างต้องไม่ตีตรา ส่งเสริมให้เข้าถึงการใช้บริการทางเลือกที่เป็นมิตร” นพ.พงศ์เทพ กล่าว

นพ.กิตติพงศ์ แซ่เจ็ง ประธานคณะอนุกรรมการด้านวิชาการการจัดประชุมสุขภาวะทางเพศระดับชาติ ครั้งที่ 4 กล่าวว่า การจัดการประชุม ครั้งที่ 4 เน้นสร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม ครอบคลุมประเด็นเรื่องเพศ เอดส์ และท้องวัยรุ่น พร้อมนำเสนอข้อมูล องค์ความรู้ นวัตกรรมเครื่องมือ และบทเรียนการทำงาน จัดพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้อค้นพบทางวิชาการ

รวมถึงนโยบายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้นำไปใช้ประโยชน์ในการทำงานในชุมชนของตัวเอง และร่วมกันถอดบทเรียนจากการนำเสนอ กำหนดเป็นนโยบายขับเคลื่อนการทำงานด้านสุขภาวะทางเพศในระดับประเทศ ที่สำคัญ นอกจากองค์ความรู้ เครื่องมือ และบทเรียนการทำงานใหม่ๆ คือประสบการณ์ที่ได้รับ เพื่อพัฒนาให้การดำเนินงานด้านสุขภาวะทางเพศเข้มแข็งยิ่งขึ้น